กรุงเทพฯ--13 มิ.ย.--EXIM BANK
EXIM BANK เร่งพัฒนาบริการครบวงจรเพื่อผู้ส่งออก SMEs ผนวกสินเชื่อกับประกันการค้าการลงทุนติดอาวุธผู้ประกอบการไทยในการค้าโลกยุคใหม่
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ชูนโยบายทำงานร่วมกับพันธมิตร ไม่แข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ เป็นศูนย์กลางให้บริการทางการเงินและคุ้มครองความเสี่ยงการค้าการลงทุนของไทย โดยเฉพาะใน CLMV และประเทศยุทธศาสตร์ของรัฐบาล พร้อมเดินหน้าสร้างประเทศไทย 4.0 ที่มีศักยภาพและแข่งขันได้ในโลกยุคดิจิทัลและนวัตกรรม
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในทิศทางไม่สดใส เนื่องจากประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกหลายแห่งยังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจภายใน ขณะที่จีนซึ่งเคยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจโลกชะลอความร้อนแรงลง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยซบเซาอย่างต่อเนื่องไปด้วย ประกอบกับภาคการส่งออกที่เคยเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังหดตัวมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556-2558 โดยมีสาเหตุมาจากปัญหาเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมัน ตลอดจนสินค้าโภคภัณฑ์ปรับลดลงมาก แต่ปัญหาหลักของภาคการส่งออกของไทยคือ โครงสร้างการผลิตสินค้าส่งออกของไทยยังไม่สามารถแข่งขันได้ในตลาดระดับบน ขณะที่การแข่งขันด้านราคาในตลาดล่างก็สู้ไม่ได้ ทางออกของประเทศไทยคือ การปฏิรูปเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (Valued Based Economy) หรือประเทศไทย 4.0 และ EXIM BANK พร้อมจะเข้าไปมีบทบาทสนับสนุนการปฏิรูปเศรษฐกิจดังกล่าว
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยต่อไปว่า EXIM BANK กำลังเร่งพัฒนาบริการเบ็ดเสร็จเพื่อ SMEs โดยใช้สินเชื่อควบคู่กับประกันการส่งออกและลงทุนเป็นเครื่องมือขยายธุรกิจและบุกตลาดของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะการค้าการลงทุนของไทยใน CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และประเทศตลาดใหม่ตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาลพร้อมทั้งขยายความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อให้เกิดช่องทางใหม่ๆ ที่จะให้แพ็กเกจบริการทางการเงินของ EXIM BANK เข้าถึงผู้ประกอบการไทยที่ต้องการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและขยายตลาดในโลกการค้ายุคใหม่ได้อย่างยั่งยืน แข่งขันได้ด้วยคุณภาพและเอกลักษณ์ของแบรนด์ไทย รวมถึงการทยอยเปิดสำนักงานตัวแทนใน CLMV โดยคาดว่าจะสามารถเปิดที่เมียนมาได้เป็นแห่งแรกภายในปีนี้
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยต่อไปว่า EXIM BANK มุ่งเน้นการสร้างกลุ่มผู้ประกอบการทุกขนาดธุรกิจที่แข็งแรง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย (SMEs) ดังนี้ 1. Smart Start Up หรือผู้เริ่มต้นทำธุรกิจที่ใช้นวัตกรรมในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการ เพื่อการเติบโตทางการตลาดอย่างก้าวกระโดด 2. Advanced S หรือกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กที่มีศักยภาพสูง มียอดขายและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ 3. Amazing M หรือกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางที่เข้มแข็ง 4. ผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก กลาง และใหญ่ที่ต้องการการสนับสนุนจาก EXIM BANK เพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพแต่ยังแข่งขันในตลาดระดับบนไม่ได้ EXIM BANK พร้อมจะให้การสนับสนุนเงินทุนเพื่อปรับโครงสร้างการผลิต ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเทคโนโลยี วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ย้ายฐานการลงทุนไปยังต่างประเทศ รวมทั้งรับประกันความเสี่ยงทางการค้าและการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศด้วย
นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า บทบาทใหม่ของ EXIM BANK คือ การทำหน้าที่เป็นทีมสนับสนุนการขยายการค้าการลงทุนของไทยในตลาดโลก ใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินและพันธมิตรของเราเป็นแนวร่วมนำพาประเทศไทยขยายธุรกิจการค้าการลงทุนเข้าไปในประเทศยุทธศาสตร์ของรัฐบาล โดยใช้จุดแข็งของบริการที่แตกต่างจากสถาบันการเงิน ได้แก่ บริการประกันการส่งออกและลงทุน ควบคู่กับแพ็กเกจการเงินที่ตอบสนองความต้องการของ SMEs ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อช่วยให้การค้าการลงทุนระหว่างประเทศขยายตัวได้แม้ในปัจจุบันที่ภาวะเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว และขยายตัวได้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในโลกการค้ายุคใหม่
"โลกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดด เราต้องก้าวตามให้ทันและทำงานอย่างเกื้อกูลกัน EXIM BANK จะไม่แข่งขันกับธนาคารอื่นๆ แต่จะทำงานร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เราพร้อมรับความเสี่ยงและบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเติมเต็มช่องว่างทางการเงินในระบบ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยก้าวข้ามอุปสรรคทางการค้าในโลกยุคใหม่ได้ ขยายธุรกิจได้อย่างไร้พรมแดน และประสบความสำเร็จในระยะยาว" นายพิศิษฐ์ กล่าว