กรุงเทพฯ--14 มิ.ย.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บล.โกลเบล็ก มองหุ้นไทยยังจับตาผลการจัดทำประชามติ Brexit วันที่ 23 มิ.ย.นี้ หากประชาชนอังกฤษโหวตถอนตัวออกจาก EU กระทบเศรษฐกิจยูโรโซน บวกราคาน้ำมันที่หลุด 50 ดอลลาร์/บาร์เรล จึงประเมินกรอบดัชนีแนวรับ 1,410 – 1,415 จุด แนะเก็งกำไรหุ้นอานิสงส์ของการประมูลโครงการใหญ่ภาครัฐมูลค่ารวมเกือบ 2 แสนล้านบาทในเดือนมิ.ย. ด้านราคาทองคำมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยมีแนวรับ 1,245 - 1,240 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,300-1,310 เหรียญต่อทรอยออนซ์
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)อาจยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมระหว่างวันที่ 14-15 มิ.ย. ประกอบกับในเดือนมิ.ย. คาดว่าจะมีการเปิดประมูลโครงการใหญ่ของรัฐบาลมูลค่ารวม 2.4 แสนล้านบาท อาทิ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สาย ได้แก่ สายสีส้ม สายสีเหลือง และสายสีชมพู เป็นต้น รวมถึงในช่วงปลายเดือนมิ.ย. มีความหวังว่าจะมีการทำ Window Dressingปิดงบไตรมาส 2/59
อย่างไรตามก็ยังมีปัจจัยลบกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทย อาทิ ราคาน้ำมันในตลาดโลกทรุดตัวหลุดจากระดับ50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่แข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลโหวต BREXIT หากประชาชนอังกฤษถอนตัวออกจาก EU จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรโซนซึ่งเป็นประเด็นที่ธนาคารกลางสหรัฐระบุว่าอาจจะมีการพิจารณาในเรื่องนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไป
นอกจากนี้ยังคงต้องจับตาปัจจัยที่มีผลต่อเศรษฐกิจ เช่น วันที่ 14-15 มิ.ย.มีการจัดประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) วันที่ 16 มิ.ย. ธนาคารกลางญี่ปุ่นจัดแถลงมติอัตราดอกเบี้ย และวันที่ 23 มิ.ย. เป็นวันลงประชามติของชาวอังกฤษว่าควรแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) หรือไม่ ซึ่งผลการสำรวจล่าสุดของหลายสำนักระบุว่าคะแนนที่โหวดให้ออกจาก EU มีจำนวนมากกว่าคะแนนโหวดที่จะให้อยู่ใน EU ต่อไป โดยมีชาวอังกฤษกว่า 30% จะตัดสินใจ ในสัปดาห์สุดท้ายก่อนลงประชามติ
ด้านนายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็กจำกัด กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ได้รับแรงกดดันจากความกังวลผล Brexit ซึ่งหากประชาชนอังกฤษโหวตถอนตัวออกจาก EU จะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของอังกฤษรวมถึงยูโรโซน ประกอบกับราคาน้ำมันที่ทรุดตัวลงแรงหลุด 50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน
ดังนั้นประเมินว่า SET มีโอกาสปรับตัวลงทดสอบแนวรับ 1,410 – 1,415 จุด โดยแนะนำรอซื้อสะสมช่วงอ่อนตัวแบบSelective Buy ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับอานิสงส์จากการประมูลโครงการใหญ่ภาครัฐมูลค่ารวมเกือบ 2 แสนล้านบาทในเดือนมิ.ย. รองลงมากลุ่มน้ำตาล ได้ประโยชน์จากราคาน้ำตาลในตลาดโลกปรับขึ้นทำ new high ล่าสุด 19.6 ดอลลาร์/ตัน รวมทั้งกลุ่มพลังงานทดแทน ที่มีกำหนดให้ยื่นซองประมูลโรงไฟฟ้าชีวมวล 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 36 เมกะวัตต์ ในวันที่ 15-30 มิ.ย และหุ้นที่คาดว่าจะเข้าคำนวณ SET 50 รอบใหม่ ได้แก่ SPRC, GPSC, KCE, SUPER และ SET 100 ได้แก่ GLOBAL, TVO, IFEC, BCH, JWD,BAY และ BIGC
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ราคาทองคำในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 30 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือคิดเป็น 2.41% ปิดที่ระดับ 1,273 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยราคาได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงหลังการกล่าวสุนทรพจน์ของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดที่ระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังมีความแข็งแกร่งแม้ว่าตัวเลขจ้างงานจะออกมาย่ำแย่กว่าที่คาดไว้ และไม่ได้ระบุเวลาที่แน่นอนในการขึ้นดอกเบี้ยและส่งสัญญาณถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 14-15มิ.ย.นี้ พร้อมกับลดการคาดการณ์ถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ค.สู่ระดับ 26%
ขณะที่ประธานเฟดสาขาเซนต์ หลุยส์และสาขาบอสตันได้ให้ความเห็นสอดคล้องกันว่าเฟดมีแนวโน้มที่จะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเวลานี้เช่นเดียวกัน โดยที่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงแรงจากรายงานของเบเกอร์ ฮิวจ์ ที่ระบุว่าจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใช้งานในสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นได้สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นสหรัฐ ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ชาวอังกฤษอาจจะลงประชามติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU) โดยอังกฤษจะจัดการลงประชามติในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ ส่งผลให้มีเงินบางส่วนย้ายจากตลาดหุ้นเข้ามาลงทุนในทองคำเพื่อลดความเสี่ยง
ดังนั้นประเมินแนวโน้มราคาปรับตัวขึ้นตามกันกับแนวรับสัญญาณ GOLDEN CROSS สร้างแนวขึ้นรอบใหม่ในรูปแบบROUNDING BOTTOM และค่าสัญญาณทางเทคนิคที่เป็นบวก ทำให้ราคาแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นต่อตามรูปแบบ ทำให้ราคาแนวโน้มปรับขึ้นต่อ โดยมีแนวรับ 1,245 - 1,240 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,300-1,310 เหรียญต่อทรอยออนซ์