กรุงเทพฯ--14 มิ.ย.--เมืองไทยประกันชีวิต
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในช่วง 4 เดือนแรก (ม.ค. – เม.ย.) 2559 ว่า บริษัทฯ มีเบี้ยประกันชีวิต รับรวม 34,157 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 12% เทียบกับอุตสาหกรรมที่มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวมประมาณ 6% การเติบโตที่ดีดังกล่าว ยังส่งผลให้เมืองไทยประกันชีวิตมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 18.6% ขยายตัวขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 17.6%
"การเติบโตที่น่าพอใจดังกล่าว เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบาย "ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง" ที่สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ผ่านช่องทางที่สะดวกและตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและส่งผลให้ผลงานการขายมีการเติบโตที่ดี เห็นได้จากอัตราเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่ออายุที่สามารถเติบโตได้สูงกว่า 28% เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมโดยรวมที่เติบโตเพียง 8% ขณะเดียวกันเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ เมืองไทยประกันชีวิตก็ยังสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 เช่นเดิม"
ท่ามกลางพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับสังคมดิจิตอลที่การเชื่อมต่อและติดต่อสื่อสารมีความสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้นนั้น นายสาระ เห็นว่า ปัจจัยดังกล่าวถือเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายอย่างยิ่งต่อการปรับตัวของธุรกิจประกันชีวิต ซึ่งที่ผ่านมา เมืองไทยประกันชีวิตได้เร่งปรับตัวในมิติต่างๆ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการและเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การสื่อสารกับลูกค้าผ่านสังคมออนไลน์รูปแบบต่างๆ การเพิ่มช่องทางการชำระเงิน ผ่าน Line Pay การพัฒนาแอปพลิเคชั่นที่ให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลกรมธรรม์ของตนเองได้ตลอดเวลา เป็นต้น
เช่นเดียวกับในมิติการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นายสาระ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้นำเสนอแบบประกันชีวิตที่หลากหลาย สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ทั้งความคุ้มครองชีวิตเพื่อเป็นหลักประกันที่มั่นคงให้แก่ครอบครัว การออมเงินระยะยาวที่สร้างวินัยทางการเงินที่ดี รวมถึงในภาวะปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ เมืองไทยประกันชีวิตก็ได้พัฒนาแบบประกันชีวิตควบคู่การลงทุนออกมาเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้เอาประกัน ที่มองหาโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่ากรมธรรม์แบบสามัญทั่วไป เช่น เมืองไทยยูนิตลิงค์ 1 รวมถึงเมืองไทย ยูนิเวอร์แซลไลฟ์ 1และเมืองไทย ยูแอล 1 เป็นต้น
นายสาระ กล่าวอีกว่า เมืองไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญการบริหารพอร์ตอย่างมืออาชีพเพื่อสร้างการเติบโต ที่มั่นคงแข็งแกร่ง และเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว ล่าสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 318,979 ล้านบาท เติบโตขึ้น 8% จากสิ้นปี 2558 โดยมีเงินกองทุน 87,067 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเงินกองทุนที่ต้องดำรงไว้ตามกฎหมายถึง 512% ทั้งนี้ จัดอยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 140% อยู่มาก
นอกจากนี้ สถาบันจัดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน "ฟิทช์ เรทติ้งส์" (Fitch Ratings) ได้ประกาศ(ณ วันที่16 ก.พ. 2559) คงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (International Insurer Financial Strength (IFS)) ที่ 'A-' และอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS) ที่ 'AAA(tha)' แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพถือเป็นอันดับเครดิตที่สูงที่สุดภายในประเทศ สะท้อนถึงความมั่นคงแข็งแกร่งของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี
"เมืองไทยประกันชีวิตยังคงเดินหน้ากลยุทธ์การเติบโตต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้บริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับความมั่นคง แข็งแกร่ง และยั่งยืน" นายสาระกล่าว