กรุงเทพฯ--21 มิ.ย.--กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานสถานการณ์ภัยแล้งมีแนวโน้มคลี่คลาย ในทิศทางที่ดีขึ้น โดยปัจจุบันมีจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) 26 จังหวัด 189 อำเภอ 1,014 ตำบล 8,274 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 11.04 ของจำนวนหมู่บ้านทั่วประเทศ ทั้งนี้ ปภ. ได้ประสานจังหวัดและหน่วยงานทุกภาคส่วนวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุมและสอดคล้องกับปริมาณฝนในแต่ละพื้นที่ เพื่อจัดสรรน้ำให้เพียงพอต่อการใช้งานของประชาชนอย่างทั่วถึงและครอบคลุมทุกพื้นที่ พร้อมความร่วมมือทุกภาคส่วนใช้น้ำอย่างประหยัด กักเก็บน้ำและสำรองน้ำไว้อุปโภคบริโภค และวางแผนการเพาะปลูกพืชให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ เพื่อป้องกันผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหาย
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ภัยแล้งของประเทศไทยมีแนวโน้มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากมีฝนตกกระจายและฝนตกหนักในหลายพื้นที่ จากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมอ่าวเบงกอล ทะเลอันดามันตอนบน และประเทศไทย ประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดเข้าปกคลุมบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก มีฝนตกเพิ่มมากขึ้น ส่วนภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกหนักบางพื้นที่ โดยปัจจุบันมีจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) 26 จังหวัด 189 อำเภอ 1,014 ตำบล 8,274 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 11.04 ของจำนวนหมู่บ้านทั่วประเทศ แบ่งเป็น จังหวัดที่มีปัญหาด้านน้ำอุปโภคบริโภค 8 จังหวัด ได้แก่ ลำพูน ตาก สุรินทร์ ชัยนาท สระบุรี ชลบุรี ตรัง และประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดที่มีปัญหาด้านน้ำเพื่อการเกษตร 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ พะเยา สุโขทัย มหาสารคาม กาญจนบุรี และจันทบุรี และจังหวัดที่มีปัญหาด้านน้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร 12 จังหวัด ได้แก่ อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ นครราชสีมา ตราด นครศรีธรรมราช หนองบัวลำภู สุพรรณบุรี ขอนแก่น ปราจีนบุรี อุทัยธานี กำแพงเพชร และแม่ฮ่องสอน โดยเขื่อนใหญ่บางแห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 แห่ง ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เริ่มมีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนแล้ว แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ไม่มากนัก มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 8,041 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นปริมาณน้ำใช้การได้ 1,345 ล้านลูกบาศก์เมตร อย่างไรก็ตาม แม้จะเริ่มมีน้ำไหลเข้าเขื่อน แต่ปริมาณน้ำต้นทุนที่ใช้การได้ของแต่ละเขื่อนอยู่ในเกณฑ์น้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จึงต้องมีการบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุมและสอดคล้องกับปริมาณฝน เพื่อจัดสรรน้ำให้เพียงพอต่อการใช้งานของประชาชนในทุกกิจกรรม รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัยแล้ง จึงได้สั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประสานจังหวัดและหน่วยงานทุกภาคส่วนเตรียมการรองรับกรณีฝนไม่ตกตามคาดการณ์หรือมีฝนตกน้อย โดยมุ่งเน้นการเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำและสำรองน้ำไว้ใช้ พร้อมประสานปฏิบัติการฝนหลวง ในพื้นที่เหนือเขื่อนในช่วงสภาพอากาศเอื้ออำนวยอย่างต่อเนื่อง การนำรถบรรทุกน้ำนำน้ำสะอาดไปเติมยังภาชนะกลางประจำหมู่บ้าน และการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำระยะไกลส่งน้ำดิบ เพื่อผลิตน้ำประปาและน้ำเพื่อการเกษตร รวมถึงวางแผนจัดสรรน้ำให้เข้าถึงประชาชนอย่างทั่วถึงและครอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งนี้ ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนใช้น้ำอย่างประหยัด กักเก็บน้ำและสำรองน้ำไว้อุปโภคบริโภค หากพื้นที่ใดมีฝนตกสม่ำเสมอและมีปริมาณน้ำเพียงพอ ขอให้เกษตรกรวางแผนการเพาะปลูกพืชให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ ส่วนพื้นที่ใดมีฝนตกไม่สม่ำเสมอ ให้เลื่อนการทำการเกษตรออกไปจนกว่าจะมีฝนตกตามฤดูกาลปกติ เพื่อป้องกันผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 เพื่อประสานให้ความช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป
0-2243-0674 0-2243-2200 www.disaster.go.th