กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--PR Story
ด้วยปัจจุบันคนในสังคมให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพด้วยตนเองมากขึ้น มีการศึกษาหาข้อมูลก่อนการซื้อผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเภสัชกรประจำร้านขายยา จึงเป็นบุคคลสำคัญที่จะแนะนำข้อมูลในการดูแลสุขภาพที่ถูกวิธีให้กับประชาชน บริษัท แบลคมอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้ร่วมกับสถาบันวิจัย แบลคมอร์ส ประเทศออสเตรเลียและคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต จัดการประชุมวิชการเรื่อง "Educational seminar for community pharmacists" มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เภสัชกร บุคลากรทางการแพทย์ มีความรู้ สามารถแนะนำต่อผู้บริโภคได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
น.ส. ผุสดี สุจิตจร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แบลคมอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงที่มาของการจัดประชุมว่า เภสัชกร และบุคลากรทางการแพทย์ มีความสำคัญอย่างมากในการให้คำแนะนำแก่ผูบริโภค
เพื่อดูแลสุขภาพ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในการส่งเสริมหรือรักษา ผู้บริโภคในปัจจุบันมีความคาดหวัง และต้องการความรู้ที่ถูกต้องก่อนตัดสินใจซื้อ ดังนั้น จึงถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของบริษัทฯที่จะนำองค์ความรู้จากนักวิจัยของสถาบันแบลคมอร์สมาถ่ายทอดให้กับเภสัชกรไทย โดยจัดสัมมนาให้แนวทางการนำความรู้โดยมีหลักฐานอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับวิตามิน สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในทางเภสัชกรรม และในครั้งนี้มีเภสัชกรและบุคลากรทางการแพทย์เข้าร่วมฟังบรรยายกว่า 200 คน โดยบริษัทฯ ได้เชิญผศ.ดร. ปรีชา มนทกานติกุล คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ มิสแคทเทอลีน คูลลิ่ง ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวิจัยแบลคมอร์ส ประเทศออสเตรเลีย ให้ความรู้ในหัวข้อ สารอาหารที่สำคัญในโรคติดเชื้อ และระบบทางเดินหายใจส่วนบน รวมถึงสารอาหารสำคัญที่จำเป็นสำหรับหญิงตั้งครรภ์ตลอดจนอัตรกิริยาของโภชนเภสัชภัณฑ์ (Complementary Medicine interaction)
ด้าน ผศ.ดร.ภก.ธนภัทร ทรงศักดิ์ คณบดี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า มหาวิทยาลัยได้ลงนามความร่วมมือกับสถาบันวิจัยแบลคมอร์สตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยจะร่วมกันพัฒนาด้านข้อมูลและการให้ความรู้ผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมงานวิจัยรวมถึงการแลกเปลี่ยนบุคลากร เพื่อเรียนรู้และพัฒนา ซึ่งในปัจจุบันเภสัชกรร้านยา ควรมีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพราะร้านยาเปรียบเสมือนด่านแรกในชุมชนที่คนจะเข้ามาปรึกษาปัญหาสุขภาพ รับยา หรือผลิตภัณฑ์สุขภาพ ดังนั้นจึงสำคัญมากที่ควรจะให้ความรู้แก่เภสัชกร เพื่อให้สามารถที่จะเลือกสรร ผลิตภัณฑ์เสริมที่เหมาะกับคนไข้เฉพาะราย โดยจะต้องทราบข้อมูลของผลิตภัณฑ์ ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และพิจารณาเรื่องของการรบกวนกันของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดกับยาบางตัวก่อน เพื่อผลประโยชน์ของคนไข้ หรือลูกค้าด้วย
อย่างไรก็ตาม การทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะได้ประโยชน์มาก เมื่อผู้ใช้ทราบว่าตนเองมีภาวะพร่องสารอาหารชนิดใด การรับประทานแบบนี้จะตอบโจทย์และเป็นประโยชน์ เช่น หากเป็นคนไม่ชอบรับประทานปลาทะเลเลย ก็มีโอกาสที่จะขาด omega-3 พวก DHA และ EPA ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาสมองของเด็ก หรือป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นหากเภสัชกรสามารถที่จะซักประวัติเบื้องต้น คนไข้
ในร้านขายยา และเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้ตรงกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงให้คำแนะนำที่ถูกต้องผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์อย่างแน่อน
ด้านมิสแคทเทอลีน คูลลิ่ง จากสถาบันวิจัยแบลคมอร์ส ประเทศออสเตรเลีย ได้นำองค์ความรู้เกี่ยวกับสารอาหารสำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์มาแนะนำให้กับเภสัชกรและบุคลากรทางการแพทย์ที่ร่วมฟังบรรยายว่า สารอาหารสำคัญที่จำเป็นสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ได้แก่ กรดโฟลิค ไอโอดีน และดีเอชเอ โดยเฉพาะกรดโฟลิค องค์การอนามัยโลกแนะนำว่าควรได้รับอย่างน้อย 400 ไมโครกรัม/วัน อย่างน้อย 1 เดือนก่อนตั้งครรภ์จนถึงช่วงอายุครรภ์ 3 เดือน เพื่อป้องกันความผิดปกติของระบบสมองและไขสันหลังของลูก ไอโอดีนก็เป็นอีกแร่ธาตุสำคัญมีผลต่อพัฒนาการของสมอง โดยเฉพาะในช่วง 20 สัปดาห์แรก และพบว่าเด็กที่คุณแม่ได้รับไอโอดีนเพียงพอในช่วงตั้งครรภ์จะมีไอคิวสูง รวมถึง DHA ก็เป็นสารอาหารสำคัญเป็นส่วนประกอบของโครงสร้างสมองและจอประสาทตา นอกจากนี้ควรระมัดระวังในการบริโภคปลาขนาดใหญ่ เนื่องจากมีโอกาสจะได้รับโลหะหนักที่ปนเปื้อน ซึ่งจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ และต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ยังไม่สุก เพราะอาจมีเชื้อโรคและพยาธิ รวมถึงอาหาร Junk Food เนื่องจากจะมีโอกาสได้รับน้ำตาลมากเกินไป และทำให้เกิดโรคเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ได้