กรุงเทพฯ--27 มิ.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ที่ระดับ 'AA(tha)' อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ระดับ 'F1+(tha)' และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทฯ ที่ระดับ 'AA(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
อัตราส่วนหนี้สินยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ: ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ PTTGC โดยคำนวณจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO-adjusted net leverage) จะลดลงเหลือ 1.2 เท่าในปี 2559 (2558: 1.4 เท่า) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น และความต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่ลดลงเนื่องจากราคาน้ำมันที่ต่ำ เราคาดว่าบริษัทฯ น่าจะสามารถรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวได้ต่ำกว่า 1.5 เท่า ในช่วงเวลา 2-3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่สูงกว่าที่คาดอย่างมีนัยสำคัญอาจจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวของบริษัทฯ สูงกว่า 1.5 เท่าได้
แผนการลงทุนที่สูง แต่อาจมีการปรับเปลี่ยนได้: ฟิทช์คาดว่า PTTGC จะสามารถจัดการกับการลงทุนที่ผ่านการอนุมัติแล้วของบริษัทฯ จำนวน 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2559-2563 ด้วยกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานของบริษัทฯ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่กำลังพิจารณาอยู่ในห้าปีข้างหน้าเพิ่มเติมอีกจำนวน 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนดังกล่าวสามารถเลื่อนออกไปได้ในกรณีที่ภาวะอุตสาหกรรมไม่เอื้ออำนวย บริษัทฯ กำลังอยู่ในช่วงศึกษาโครงการหลัก 3 โครงการ ซึ่งรวมถึง US Petrochemical complex ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่มีขนาดใหญ่ได้ในกรณีที่บริษัทฯ ตัดสินใจดำเนินโครงการ อย่างไรก็ตาม ฟิทช์ได้พิจาณารวมค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนจำนวน 50% ของแผนการลงทุนที่ยังพิจารณาอยู่ในการประมาณการจนถึงปี 2563
การผลิตที่ครบวงจรและต้นทุนการผลิตที่ต่ำ: บริษัทฯ เป็นผู้ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีการผลิตต่อเนื่องครบวงจรตั้งแต่การกลั่นน้ำมันไปจนถึงการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี บริษัทฯ มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบรวมถึงการได้รับประโยชน์จากการมีขนาดการผลิตที่ใหญ่ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการผลิตเนื่องจากวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตโอเลฟินส์ได้แก่ก๊าซธรรมชาติซึ่งจัดหาได้จากภายในประเทศและมีราคาถูกกว่าวัตถุดิบประเภทอื่นเช่น แนฟทา อย่างไรก็ตาม ความได้เปรียบนี้ถูกลดทอนลงในช่วงที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำ ณ ปัจจุบัน
บริษัทฯ ยังได้รับประโยชน์จากการที่บริษัทฯ มีสัญญาการจัดหาวัตถุดิบระยะยาวกับ บมจ. ปตท. (ซึ่งถือหุ้นบริษัทฯ อยู่ประมาณร้อยละ 49 โดย ปตท. ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ 'AAA(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งช่วยลดความผันผวนของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบได้ ส่งผลให้ PTTGC มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ และมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมันอื่นในประเทศ
ความผันผวนตามวัฏจักรของธุรกิจ: อันดับเครดิตของบริษัทฯ ถูกลดทอนจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ตามวัฎจักรของธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นน้ำมันรวมถึงราคาน้ำมันดิบ ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนกำไรและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ มีความผันผวน
ความเชื่อมโยงกับ ปตท. : ฟิทช์ได้ให้อันดับเครดิตแก่ PTTGC เพิ่มขึ้นหนึ่งอันดับเพื่อสะท้อนถึงความสัมพันธ์ในด้านการดำเนินงานและความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของบริษัทฯ กับ ปตท. ทั้งนี้ผลประโยชน์ที่บริษัทฯ ได้รับจาก ปตท. เช่น การจัดหาวัตถุดิบก๊าซ ได้สะท้อนอยู่ในอันดับเครดิตของบริษัทฯ โดยลำพังอยู่แล้ว
สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ:
- ราคาน้ำมันดิบ (ดูไบ) ที่ราคา 40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในปี 2559, 50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในปี 2560, 60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในปี 2561 และ 70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในปี 2562 เป็นต้นไป โดยมีการปรับปรุงด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ PTTGC
- ค่าการกลั่นที่ลดลงในปี 2559 เนื่องจากแรงกดดันจากกำลังการกลั่นที่คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นและอุปทานของน้ำมันดีเซลจากประเทศจีนที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก
- ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์จะสูงขึ้นในปี 2559 จากระดับในปี 2558 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำอยู่
- ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์ HDPE กับ Naphtha ยังคงอยู่ในระดับที่สูงในปี 2559
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่อนุมัติแล้วจำนวน 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 50% ของค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของแผนการลงทุนที่ยังพิจารณาอยู่จำนวน 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จนถึงปี 2563
- การจ่ายเงินปันผลที่ 45% ของกำไรสุทธิ
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
- ระดับความสัมพันธ์ในด้านการดำเนินงาน และความสำคัญในเชิงกลยุทธ์หระหว่างบริษัทฯ กับ ปตท. ที่เพิ่มสูงขึ้น
- การเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทฯ โดยลำพังเองยังไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะสองถึงสามปีข้างหน้า เนื่องจากแผนการลงทุนที่สูงของบริษัทฯ และคาดว่าการลงทุนใหม่ๆ เหล่านี้ยังไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทฯ ในระยะเวลาอันใกล้นี้ได้
ปัจจัยลบ:
- ระดับความสัมพันธ์ในด้านการดำเนินงาน และความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระหว่างบริษัทฯ กับ ปตท. ที่ลดน้อยลง
- FFO-adjusted net leverage ที่สูงกว่า 1.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนที่ใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และ/หรือ ค่าการกลั่นและส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับราคาวัตถุดิบที่อยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ฟิทช์มองว่าการตัดสินใจลงทุนในโครงการที่ใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมเงินเป็นจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญจะเป็นเหตุให้มีการพิจารณาอันดับเครดิตของบริษัทฯ