ฝึกพฤติกรรมการใช้ไฟเพื่อลดรายจ่ายค่าไฟฟ้า

ข่าวทั่วไป Tuesday June 12, 2001 09:12 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--12 มิ.ย.--กฟน.
สภาพเศรษฐกิจประเทศไทยในปัจจุบันส่งผลให้หลายบ้านต้องควบคุมค่าใช้จ่ายของตนเองให้มากขึ้น ค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณูปโภคเป็นค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ค่าไฟฟ้า , ค่าน้ำประปา , ค่าโทรศัพท์ อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายเหล่านี้หากเราควบคุมการใช้ให้ประหยัดและใช้อย่างถูกวิธี ก็สามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้ในระดับหนึ่ง
ปัจจุบันการใช้ไฟฟ้าเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันไปแล้วการประหยัด ไฟฟ้าจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่ท่านต้องจ่ายในแต่ละวันลดลง โดยท่านสามารถคิดคำนวณได้ว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดในบ้านของท่าน ต้องเสียค่าไฟฟ้าวันละกี่บาท รวมแล้วเดือนละเท่าไหร่ และถ้าท่านสามารถลดจำนวนเวลาที่ใช้เครื่องไฟฟ้าชนิดนั้น ๆ ลง ท่านจะสามารถประหยัดเงินได้กี่บาท
ก่อนอื่น มาดูกันก่อนว่า ในค่าไฟฟ้านั้น ประกอบด้วยอะไรบ้าง
อะไรอยู่ในค่าไฟฟ้า ?
หากหยิบใบแจ้งหนี้หรือใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าขึ้นมาดู หลายคนอาจจะรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจว่า ทำไมมีการเรียกเก็บค่าไฟหลายรายการ จนถึงกับไม่แน่ใจขึ้นมาว่า เป็นกลวิธีการขึ้นค่าไฟฟ้าหรือไม่
ย้อนหลังไปก่อนปี 2535 ใบเสร็จค่าไฟฟ้าจะแสดงเฉพาะราคาค่าไฟฟ้าที่ท่านต้องชำระเพียงรายการเดียว เช่น ค่าไฟฟ้าหน่วยละ 3 บาท ท่านใช้ 100 หน่วย ก็จ่ายเงิน 300 บาท แต่ในความเป็นจริงแล้ว ค่าไฟฟ้าหน่วยละ 3 บาทนั้น มีค่าภาษีรวมอยู่ด้วย ต่อมาอีกระยะหนึ่ง รัฐบาลประกาศใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มและบังคับให้แยกค่าสินค้าและค่าภาษีออกจากกัน เช่น ค่าไฟฟ้ารวมที่เรียกเก็บ 300 บาท จะแบ่งเป็นค่าไฟฟ้า 280.37 บาท ภาษี มูลค่าเพิ่ม ( คิดอัตรา ร้อยละ 7 ) อีก 19.63 บาท รวมแล้ว ราคาที่ท่านต้องจ่าย คือ 300 บาทเท่าเดิม
จนกระทั่งปี 2535 รัฐบาลได้ประกาศราคาเชื้อเพลิงลอยตัวตามราคาตลาดโลก ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า เพราะการผลิตไฟฟ้า ต้องใช้เชื้อเพลิงทั้งน้ำมันและกาซธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ แต่เนื่องจากการประกาศค่า ไฟฟ้าใหม่ทุกเดือนเป็นเรื่องยุ่งยาก และไม่สะดวกทั้งต่อผู้ใช้ไฟฟ้าและการไฟฟ้า จึงได้มีการแยกต้นทุนเชื้อเพลิงส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปจากการกำหนดค่าไฟฟ้านี้ออกมาและเรียกส่วนนี้ว่า ต้นทุนผันแปรหรือค่าเอฟที ( Ft : Fuel Adjustment Charge ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น Energy Adjustment Charge) และมีการรวมต้นทุนผันแปรตัวอื่น ๆ เช่น ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน อัตราเงินเฟ้อ ฯลฯ เข้าไปด้วย ตั้งแต่นั้นมา ค่าเอฟที ก็ปรากฏให้เห็นและมีการแปรผันไปตามต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไป
ฉะนั้น ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2535 ค่าไฟฟ้าจึงมี 3 ส่วน ได้แก่ ค่าไฟฟ้าฐาน( คงที่ ) + ค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) + ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ต่อมา วันที่ 3 ตุลาคม 2543 คณะรัฐมนตรี มีมติประกาศใช้โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ มีวัตถุประสงค์กำหนดให้ค่าไฟฟ้าสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ส่งเสริมให้มีการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งจะเป็นการให้ความเป็นธรรมกับผู้ใช้ไฟฟ้า ในโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ จึงกำหนดให้แยกต้นทุนในแต่ละกิจกรรมไฟฟ้าให้เห็นอย่างชัดเจน ได้แก่ กิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่าย และกิจการค้าปลีก มีการแจกแจงค่าไฟฟ้าของแต่ละส่วนในใบเสร็จค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นเพียงการดึงรายการมาให้เห็นอย่างชัดเจน โปร่งใส และสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงเท่านั้น
แล้วค่าเอฟที ทำไมถึงปรากฏขึ้นมาอีก ในเมื่อก่อนหน้านี้หายไปแล้ว
โครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ เป็นโครงสร้างที่ได้รวมค่าเอฟทีของเดือนกันยายน 2543 จำนวน 64.52 สตางค์/หน่วย ไว้ด้วยแล้ว หลายคนเข้าใจว่า ค่าเอฟทีไม่มีแล้ว แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น การที่นำค่า เอฟที เดือนกันยายน 2543 รวมไปกับค่าไฟฟ้าใหม่ ทำให้ค่าเอฟทีเหลือ 0 สตางค์ต่อหน่วย ไม่ได้ยกเลิกหรือหายไปไหน และเมื่อครบ 4 เดือน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ค่าเอฟทีปรับขึ้นจาก 0 สตางค์ต่อหน่วย เป็น 24.44 สตางค์ต่อหน่วย และจะใช้ไปอีก 4 เดือน จนถึงเดือน พฤษภาคม 2544 แล้วจึงพิจารณาค่าเอฟทีใหม่
ขณะเดียวกัน ใบแจ้งหนี้/ใบเสร็จรับเงิน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2543 มีค่าบริการปรากฏขึ้นมาใหม่ คำถามคือ ค่าบริการนี้มาจากไหน และทำไมถึงต้องมี
ค่าบริการนี้ไม่ใช่เงินที่เก็บเพิ่มขึ้นใหม่ แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่เดิมรวมอยู่ในอัตราค่าไฟฟ้า การแยกค่าบริการออกมา ทำให้สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง ชัดเจนและโปร่งใส คล้าย ๆ กับสมัยที่มีการแยกภาษีมูลค่าเพิ่มออกจากราคาสินค้าสมัยก่อน
อย่างไรก็ตาม ค่าบริการที่ปรากฏในใบแจ้งหนี้/ใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าใหม่ เป็นการสะท้อนถึงค่าใช้จ่ายในการบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย เช่น ค่าพิมพ์ใบแจ้งหนี้/ใบเสร็จรับเงิน ค่าคำนวณการใช้ไฟ ค่าจดมิเตอร์ ค่าจัดส่ง เป็นต้น ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นใหม่ แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่มีอยู่เดิม ในรูปของค่าไฟฟ้าต่ำสุดของโครงสร้างเก่า เพียงแต่ในใบแจ้งหนี้/ใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าใหม่ได้แยกแสดงออกมา เพื่อให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นไปตามมติของคณะกรรมการกำกับการศึกษาปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
สรุปแล้ว ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บและปรากฏในใบแจ้งหนี้/ใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน ประกอบด้วย ค่าไฟฟ้าฐาน + ค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) + ค่าบริการ + ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ถึงตอนนี้แล้ว คงพอจะมองเห็นแล้วว่า มีอะไรบ้างอยู่ในค่าไฟฟ้า ตอนนี้ลองมาคิดคำนวณหาค่าไฟฟ้าภายในบ้านกัน การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ขอเสนอวิธีการคำนวณค่าไฟฟ้าดังนี้
ก่อนอื่นต้องทราบจำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีอยู่ในบ้านก่อนว่ามีจำนวนเท่าใดและเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ะชนิดกินไฟเท่าไร สามารถสังเกตุได้จากคู่มือการใช้งานหรือแถบป้ายที่ติดกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เขียนว่า กำลังไฟฟ้า ซึ่งมีหน่วยเป็นวัตต์ ( Watt) หลังจากนั้นลองคำนวณดูว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดที่ใช้งานในแต่ละวันกินไฟวันละกี่ยูนิตและนำมาเปรียบเทียบกับอัตราค่าไฟฟ้าโดยสามารถคำนวณได้จากสูตรต่อไปนี้
การใช้ไฟฟ้า 1 หน่วยหรือ 1 ยูนิต คือเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาด 1000 วัตต์ที่ใช้งานในหนึ่งชั่วโมง
1 ยูนิต = กำลังไฟฟ้า(วัตต์) ของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการคำนวณ x จำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการคำนวณ ? 1,000 x จำนวนชั่วโมงที่ใช้งานในหนึ่งวัน
ตัวอย่าง บ้านอยู่อาศัยของท่านมีเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ในบ้าน 5 ชนิด เราสามารถคำนวณการใช้ไฟฟ้าได้ ดังต่อไปนี้
1.หลอดไฟฟ้าขนาด 36 วัตต์ (รวมบาลาสต์อีก 10 วัตต์ เป็น 46 วัตต์ ) จำนวน 10 ดวง เปิดใช้งานวันละ 6 ชั่วโมง ใช้ไฟฟ้าวันละ 46 x 10 ? 1000 x 6 = 2.76 หน่วย หรือเดือนละ (30x 2.76 ) = 82.8 หน่วย หรือประมาณ 83 หน่วย
2.หม้อหุงข้าวขนาด 600 วัตต์ จำนวน 1 ใบเปิดใช้งานวันละ 30 นาที ( 0.5 ชั่วโมง ) ใช้ไฟวันละ 600 x 1 ? 1,000 x 0.5 = 0.3 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x 0.3 ) = 9 หน่วย
3.ตู้เย็นขนาด 125 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งาน 24 ชั่วโมง สมมติคอมเพรสเซอร์ทำงานวันละ 8 ชั่วโมงใช้ไฟวันละ 125 x 1 ? 1000 x 8 = 1 หน่วย หรือประมาณเดือนละ ( 30 x1) = 30 หน่วย
4.เครื่องปรับอากาศ ขนาด 20,000 บีทียู (ประมาณ 2,000 วัตต์ ) จำนวน 1 เครื่อง เปิดวันละ 12 ชั่วโมง สมมุติคอมเพรสเซอร์ทำงานวันละ 6 ชั่วโมง ใช้ไฟฟ้าวันละ 2000 x 1 ? 1000 x 6 = 12 หน่วย หรือประมาณเดือนละ ( 30 ท x 12 ) = 360 หน่วย
5. ทีวีสี ขนาด 100 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งานวันละ 4 ชั่วโมง 100 x 1 ? 1000 x 4 = 0.4 หน่วย หรือประมาณ เดือนละ (30 x0.4 ) = 12 หน่วย
รวมการใช้ไฟฟ้าในบ้าน ประมาณเดือนละ 83+9+30+360+12 = 494 หน่วย
อย่างไรก็ตามตัวอย่างการคำนวณข้างต้นเป็นการคำนวณโดยภาพรวมและประมาณการเท่านั้นอาจมีการคาดเคลื่อนได้ นอกจากนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างที่ทำความเย็น เช่น เครื่องปรับอากาศ หรือ ตู้เย็น แต่ละยี่ห้อมีอัตราการกินไฟฟ้าไม่เท่ากันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ทำความเย็นและสภาพแวดล้อม รวมถึงการตั้งอุณหภูมิด้วย
เมื่อทราบจำนวนยูนิตแล้วท่านสามารถคำนวณค่าไฟฟ้าได้โดยเปรียบเทียบกับอัตราค่าไฟฟ้าได้ดังนี้
ประเภท1.1 การใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน ประเภท 1.2 การใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยต่อเดือน
5 หน่วย (หน่วยที่ 1-5 ) เป็นเงิน 0.00 บาท 150 หน่วยแรก (หน่วยที่ 1-150 ) หน่วยละ 1.8047 บาท10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 6-15 ) หน่วยละ 1.3576 บาท 250 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 151-400)หน่วยละ 2.7781 บาท 10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่16-25 ) หน่วยละ 1.5445 บาท เกินกว่า 400 หน่วย (หน่วยที่ 401 เป็นต้นไป ) หน่วยละ 2.9780 10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 26-35 ) หน่วยละ 1.7968 บาท บาท65 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 36-100) หน่วยละ 2.1800 บาท 50 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 101-150) หน่วยละ 2.2734 บาท250 หน่วยต่อไป(หน่วยที่ 151-400) หน่วยละ 2.7781 บาทเกินกว่า 400 หน่วย (หน่วยที่ 401 เป็นต้นไป ) หน่วยละ 2.9780 บาทค่าบริการรายเดือน เดือนละ 8.19 บาท ค่าบริการรายเดือน เดือนละ 40.90 บาท
วิธีคิดค่าไฟฟ้า
สมมุติว่าใช้ไฟฟ้าไป 494 หน่วยตามตัวอย่างซึ่งจัดให้เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท 1.2150 หน่วยแรก ( 150 x 1.8047 บาท ) 270.71 บาท250 หน่วยต่อไป (250 x 2.7781 บาท) 694.53 บาทส่วนที่เกินกว่า 400 หน่วย( 494-400 = 94 x 2.9780 บาท) 279.93 บาทค่าบริการรายเดือน 40.90 บาทรวมเป็นเงิน 1,286.07 บาท
คิดค่า FT ( Energy Adjustment Charge) หรือค่าไฟฟ้าผันแปร ในแต่ละเดือนโดยดูได้จากใบเสร็จรับเงินหรือสอบถามการไฟฟ้านครหลวง การคิดค่า Ft คิดได้โดยการนำเอาค่า Ft ในแต่ละเดือน x จำนวนหน่วยที่ใช้ค่า Ft เดือน พฤษภาคม 2544 = 24.44 สตางค์ ต่อหน่วยคิดค่า Ft 494 x 24.44 สตางค์ = 120.73 บาท รวมเป็นเงิน (1,286.07 + 120.73 ) = 1,406.80 บาทภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% = 98.48 บาทรวมเป็นเงินค่าไฟฟ้าที่ต้องชำระทั้งสิ้น = 1,505.25 บาทในกรณีที่คำนวณค่าไฟฟ้าแล้วเศษสตางค์มีค่าต่ำกว่า 12.50 สตางค์ จะทำการปัดเศษลงให้เต็มจำนวนทุกๆ 25 สตางค์และถ้าเศษสตางค์มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 12.50 สตางค์ จะทำการปรับเศษขึ้นให้เต็มจำนวนทุกๆ 25 สตางค์ สำหรับตัวอย่างการคิดค่าไฟฟ้าดังกล่าวนี้ ท่านสามารถคำนวณการใช้ไฟฟ้าของท่านเองได้โดยเป็นการประมาณการซึ่งอาจจะคาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไปบ้างตามปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น อย่างไรก็ตามการฝึกคิดค่าไฟฟ้าสามารถนำไปใช้ในการควบคุมพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของท่านเพื่อเป็นแนวทางในการประหยัดค่าไฟฟ้า นอกจากนี้แล้วการประหยัดไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพให้ได้ผลต้องรู้จักเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการใช้งานซึ่งจะช่วยให้ท่านประหยัดลงไปได้อีกมาก--จบ--
-อน-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ