มาสเตอร์โพลล์ (Master Poll) เสนอผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง รัฐกับการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

ข่าวทั่วไป Thursday June 30, 2016 11:05 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--30 มิ.ย.--มาสเตอร์โพลล์ รศ.ดร.เชษฐ รัชดาพรรณาธิกุล ประธานชมรมนักวิจัยไทยเพื่อความสุขชุมชน (Thai Researchers in Community Happiness Association, TRICHA) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจมาสเตอร์โพลล์(Master Poll) เรื่อง รัฐกับการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน :กรณีศึกษาตัวอย่างแกนนำชุมชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,104 ตัวอย่างจากจังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบใช้ความน่าจะเป็นทางสถิติแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายขั้น (Stratified Multi-Stage Sampling) จากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลแกนนำชุมชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ โดยมีช่วงความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 10-18 มิถุนายน 2559 ผลการสำรวจ พบว่า เมื่อสอบถามความคิดเห็นของตัวอย่างแกนนำชุมชนถึงการติดตามข่าวสารผ่านสื่อมวลชนในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่า ร้อยละ 55.7 ระบุติดตาม ทุกวัน/เกือบทุกวัน ร้อยละ 33.0 ระบุ ติดตามติดตาม 3-4 วันต่อสัปดาห์ ร้อยละ 8.6 ระบุติดตาม 1-2 วันต่อสัปดาห์ ร้อยละ 2.3 ติดตามเป็นบางวัน และร้อยละ 0.4 ระบุไม่ได้ติดตามเลย ทั้งนี้เมื่อสอบถามถึงการติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายบริหารจัดการน้ำทั้งระบบของรัฐบาลและคสช.นั้น พบว่า ประมาณ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 37.9 ระบุติดตามอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 58.2 ระบุติดตามบ้าง และมีเพียงร้อยละ 3.9 เท่านั้นที่ระบุไม่ได้ติดตามข่าวสารเรื่องนี้เลย ทั้งนี้เมื่อคณะผู้วิจัยได้สอบถามต่อไปถึง การรับรู้รับทราบกรณีรัฐบาลและคสช. ได้จัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำ เพื่อรับผิดชอบการดำเนินงานเรื่องน้ำทั้งระบบ พบว่า แกนนำชุมชนส่วนใหญ่ คือร้อยละ 76.9 ระบุทราบข่าวเรื่องนี้มาก่อนแล้ว ในขณะที่ร้อยละ 23.1 ระบุยังไม่เคยทราบ/เพิ่งทราบ สำหรับหน่วยงานที่เข้ามาให้ความรู้หรือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการจัดการน้ำให้กับตนเองหรือชาวบ้านในหมู่บ้าน/ชุมชนของตน นับตั้งแต่มีนโยบายนี้ขึ้นมา นั้นพบว่า ร้อยละ 61.0 ระบุเจ้าหน้าที่หรือข้าราชการจากอำเภอ/จังหวัด ได้เข้ามาให้ข้อมูล รองลงมาคือร้อยละ 55.9 ระบุเป็น อบต./เทศบาล ร้อยละ 45.1ระบุเจ้าหน้าที่ทหาร และร้อยละ 10.2 ระบุเป็นเจ้าหน้าที่อื่นๆ เช่น เจ้าหน้าที่การเกษตร / กรมชลประทาน / กรมป่าไม้/สภาเกษตรกร/กำนันผู้ใหญ่บ้าน ประเด็นที่น่าสนใจคือผลการสำรวจพบว่า แกนนำชุมชนส่วนใหญ่คือร้อยละ 86.9 ระบุคิดว่าประชาชนและเกษตรกรเริ่มเข้าใจในแนวทางการบริหารจัดน้ำทั้งระบบที่รัฐบาลและ คสช.กำลังดำเนินการแล้ว ในขณะที่ร้อยละ 13.1 ระบุคิดว่ายังไม่เข้าใจ (พิจารณารายละเอียดในตารางที่ 5) ทั้งนี้เมื่อสอบถามถึงประโยชน์ที่ชาวบ้านในหมู่บ้านชุมชนของตนเองได้รับจากนโยบายการบริหารจัดการน้ำนี้ พบว่า แกนนำชุมชนร้อยละ 70.5 ระบุมีการขุดลอกคูคลอง/แหล่งน้ำธรรมชาติที่มีอยู่ รองลงมาคือร้อยละ 66.6 ระบุมีการให้ความรู้กับประชาชนเรื่องการเพาะปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ร้อยละ 49.3 ระบุมีการขุดสระ/แหล่งน้ำเพื่อรองรับน้ำในฤดูฝน ร้อยละ 46.3 ระบุมีการขุดบ่อบาดาลเพิ่มเติม และร้อยละ 4.0 ระบุอื่นๆ เช่น การซ่อมแซมฝายกั้นน้ำ ฝายชะลอน้ำ/มีรถน้ำเข้ามาบริการในหมู่บ้าน/การเดินท่อประปา นอกจากนี้ผลการสำรวจยังพบว่าแกนนำชุมชนเกือบร้อยละร้อย (ร้อยละ 92.8) เห็นว่าแนวทางการส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมช่วยแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำในการทำการเกษตรได้จริง ในขณะที่ร้อยละ 7.2 ระบุคิดว่าช่วยไม่ได้ เพราะ ประชาชนคิดว่าไม่มีตลาดรองรับสินค้า /พืชทุกชนิดต้องการน้ำ/ประชาชนไม่มีความรู้ในการปลูกพืชอย่างอื่น/ยังไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาดำเนินการเรื่องนี้เลย และ ประชาชน จะทำตามใจตัวเองปลูกอะไรก็จะปลูกอย่างนั้นไม่ยอมเปลี่ยน อย่างไรก็ตามเมื่อสอบถามความคิดเห็นกรณีรัฐบาลมาถูกทางแล้วหรือไม่ในการดำเนินนโยบายเพื่อการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบนี้ พบว่า แกนนำชุมชนร้อยละ 90.9 ระบุคิดว่ารัฐบาลมาถูกทางแล้ว ในขณะที่ร้อยละ 3.9 ระบุคิดว่ายังไม่ถูกทาง และร้อยละ 5.2 ระบุ ยังไม่แน่ใจในเรื่องนี้ และเมื่อสอบถามถึงความพึงพอใจในความคืบหน้าของการดำเนินงานตามนโยบายบริหารจัดการน้ำทั้งระบบของรัฐบาลและ คสช.ในขณะนี้นั้น พบว่า แกนนำชุมขนร้อยละ 92.1 ระบุพอใจในความคืบหน้าเรื่องนี้ ในขณะที่ร้อยละ 7.9 ระบุยังไม่พอใจ คุณลักษณะทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตัวอย่างแกนนำชุมชนร้อยละ 86.0 เป็นเพศชาย ในขณะที่ร้อยละ 14.0 เป็นเพศหญิง ร้อยละ 4.6 มีอายุต่ำกว่า 40 ปี ร้อยละ 27.5 ระบุอายุ 40-49 ปีและร้อยละ 67.9 ระบุอายุตั้งแต่ 50 ปี ขึ้น ไป ทั้งนี้ เมื่อ พิจารณาจำแนกตามระดับการศึกษาที่สำเร็จมาชั้นสูงสุดพบว่า ร้อยละ 31.3 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น/ต่ำกว่า ร้อยละ 46.8 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ป.ว.ช. ร้อยละ 5.1 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญา/ป.ว.ส. และร้อยละ 16.8 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ตามลำดับ ตัวอย่างแกนนำชุมชนร้อยละ 69.3 มีอาชีพประจำคือเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป ร้อยละ 16.6 ระบุประกอบธุรกิจส่วนตัว/ค้าขาย ในขณะที่ร้อยละ 14.1 ระบุมีอาชีพอื่นๆ อาทิ ข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ และไม่ได้ประกอบอาชีพใดๆ ทั้งนี้เมื่อพิจารณารายได้ต่อเดือนของครอบครัวพบว่า ตัวอย่างแกนนำชุมชนร้อยละ 11.7 ระบุมีรายได้ครอบครัวไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 16.9 ระบุมีรายได้ครอบครัว 10,001–15,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 26.0 ระบุมีรายได้ 15,001-20,000 บาทต่อเดือน ในขณะที่ตัวอย่างแกนนำชุมชนร้อยละ 45.4 ระบุมีรายได้ครอบครัวมากกว่า 20,000 บาทต่อเดือน ตามลำดับ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจำแนกตามรายภูมิภาค พบว่า ตัวอย่างแกนนำชุมชนร้อยละ 33.2 อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาคือร้อยละ 24.8 ระบุอยู่ในพื้นที่ภาคกลาง ร้อยละ 19.1 ระบุอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ ร้อยละ 14.3 ระบุอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ในขณะที่ร้อยละ 8.6 ระบุอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตามลำดับ
แท็ก community   APP  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ