กรุงเทพฯ--7 ก.ค.--กลุ่มสารนิเทศการคลัง กระทรวงการคลัง
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการประกาศนโยบายการสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)เป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาลและการผลักดันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อยกระดับนวัตกรรมของประเทศไทย คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการใหม่และนวัตกรรม (Start-up & Innovation) เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในกลุ่มผู้ประกอบการใหม่ (Start-up) และ SMEs ในกลุ่มที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยี(Innovation & Technology) สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้มากขึ้นผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย. ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายแล้ว ยังสร้างแรงจูงใจให้สถาบันการเงินใช้บริการค้ำประกันสินเชื่อกับ บสย. มากขึ้น
โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการใหม่และนวัตกรรม (Start-up & Innovation) มีวงเงินค้ำประกันสินเชื่อรวม 10,000 ล้านบาท และมีระยะเวลาค้ำประกันสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 10 ปี โดยกำหนดวงเงินค้ำประกันสินเชื่อสูงสุดต่อราย SMEs ประเภทบุคคลธรรมดาไม่เกิน 1 ล้านบาท และกำหนดวงเงินค้ำประกันสินเชื่อสูงสุดต่อรายSMEs ประเภทนิติบุคคลสำหรับกลุ่ม Start-up และกลุ่ม Innovation & Technology ไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย และ 20 ล้านบาทต่อราย ตามลำดับ โดย บสย. คิดค่าธรรมเนียมค้ำประกันในอัตราร้อยละ 1-2 ต่อปี ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ และรัฐบาลรับภาระจ่ายค่าธรรมเนียมแทนผู้ประกอบการในปีแรก ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถยื่นขอค้ำประกันสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน แล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน
นายกฤษฎาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า "โครงการดังกล่าวจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน การลงทุน และการบริโภคของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท (1 เท่าของวงเงินค้ำประกัน) ซึ่งจะมีส่วนช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ SMEs ในกลุ่ม Start-up และInnovation & Technology ในประเทศไทย เพื่อให้เป็นหน่วยธุรกิจที่แข็งแกร่งและเป็นรากฐานอันมั่นคงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไป"