กรุงเทพฯ--21 ก.ค.--พีอาร์ดีดี
นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ไทยพาณิชย์ เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จำนวน 3 กองทุน สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2558 - วันที่ 30 มิถุนายน 2559 และกำไรสะสม ประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 (SCBLT1) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวอินเตอร์ (SCBLT4) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต (SCBLTT) รวมมูลค่าประมาณ 508 ล้านบาท โดยจะจ่ายเงินให้กับผู้ถือหน่วยในวันที่ 25 กรกฎาคม 2559 นี้
ทั้งนี้ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 (SCBLT1) จ่ายปันผลในอัตรา 0.3400 บาทต่อหน่วย โดยแบ่งเป็นจ่ายระหว่างกาลไปแล้วเมื่อวันที่ 21 ม.ค.59 ในอัตรา 0.1000 บาทต่อหน่วย เหลือจ่ายงวดนี้ 0.2400 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 18 รวมเป็นเงินปันผลจำนวน 3.9550 บาทต่อหน่วย โดย ณ วันที่ 20 ก.ค.59 มีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 9.95% ย้อนหลัง 6 เดือน 12.86% และตั้งแต่จัดตั้งกองทุน 115.65%
ส่วนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวอินเตอร์ (SCBLT4) จ่ายปันผลในอัตรา 0.2500 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 10 รวมเป็นเงินปันผลจำนวน 2.1000 บาทต่อหน่วย โดย ณ วันที่ 20 ก.ค.59 มีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 11.35% ย้อนหลัง 6 เดือน 17.04% ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน 38.01%
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต (SCBLTT) จ่ายปันผลในอัตรา 0.4000 บาทต่อหน่วย โดยแบ่งเป็นจ่ายระหว่างกาลไปแล้วเมื่อวันที่ 21 ม.ค.59 ในอัตรา0.1000 บาทต่อหน่วย เหลือจ่ายงวดนี้ 0.3000 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 13 รวมเป็นเงินปันผลจำนวน 2.9000 บาทต่อหน่วย โดย ณ วันที่ 20 ก.ค.59 มีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 15.93%
ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 20.28% นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน 94.39%
นายสมิทธ์ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา กองทุน ?LTF ทั้ง 3 กองสามารถสร้างผลการดำเนินงานของอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยบลจ.ไทยพาณิชย์เน้นกลยุทธ์การลงทุนด้วยการคัดเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ฐานะการเงินมั่นคง มีความได้เปรียบในเชิงแข่งขัน โดยลงทุนในหุ้นที่คาดว่าจะมีการเติบโตของกำไรสุทธิสูง และได้รับประโยชน์จากสภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจในขณะนั้นๆ และในระหว่างการลงทุนกองทุนจะใช้กลยุทธ์การปรับเปลี่ยน Asset Allocation โดยการถือเงินสดให้สอดคล้องกับแนวโน้มทิศทางการลงทุนในแต่ละขณะ รวมถึงการสับเปลี่ยนการลงทุนจากหุ้นที่รับเงินปันผลแล้วเพื่อไปลงทุนในหุ้นอื่นที่จะมีจ่ายเงินปันผลต่อไป หรือการสับเปลี่ยนจากหุ้นที่มีราคาใกล้เคียงกับระดับราคาเป้าหมายไปยังหุ้นอื่นที่ราคาถูกกว่า นอกจากนี้ได้ทำการซื้อขายเพื่อทำกำไร เป็นระยะๆ อีกด้วย
"บริษัทฯมองว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2559 คาดว่าจะแกว่งตัวขึ้นต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความหวังว่าแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะคืบหน้าต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยและแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่น่าจะกลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้ดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559นอกจากนี้การลงทุนของภาคเอกชนที่มีโอกาสจะกลับฟื้นตัวหลังจากที่โครงการภาคอุตสาหกรรมได้รับการอนุมัติ BOI Tax Privilege ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา รวมถึงการเติบโตของการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง และการจับจ่ายใช้สอยและอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องยังติดตามคือ ความผันผวนของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราหลังการทำประชามติออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (BREXIT) การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจใหญ่ของโลกอย่างญี่ปุ่นและจีนที่อาจจะยังชะลอตัวต่อเนื่อง และความผันผวนของราคาน้ำมัน แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจใหญ่ของโลกอย่างญี่ปุ่นและจีนที่อาจจะยังชะลอตัวต่อเนื่อง รวมไปถึงรายได้ค่าธรรมเนียมและความสามารถในการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบในระยะสั้น จากการจัดโครงสร้างค่าธรรมเนียมใหม่และโครงการ National E-payment ซึ่งแม้จะเริ่มเห็นผลกระทบเล็กน้อยในปลายปีนี้ แต่คาดว่าจะเห็นผลกระทบชัดเจนขึ้นในปีหน้า" นายสมิทธ์กล่าว