กรุงเทพฯ--25 ก.ค.--มีเดีย พลัส คอนเนคชั่น
นายศิวะ มหาสันทนะ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปูนซีเมนต์ นครหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2559 ว่า บริษัทฯสามารถรักษาอัตรา กำไรขั้นต้นไว้ที่ร้อยละ 45 และยังคงอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษีเงินได้ ดอกเบี้ย ค่าใช้จ่าย ทางการเงิน ค่าเสื่อมราคา และรายจ่ายตัดบัญชีไว้กว่าร้อยละ 26 แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีการแข่งขันสูง และภาวะสินค้าล้นตลาด ที่ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนในอุตสาหกรรมก่อสร้างรวมถึงราคาของวัสดุก่อสร้าง
"บริษัทฯ สามารถลดต้นทุนการดำเนินงานผ่านโครงการต่างๆ ด้วยการบริหารจัดการโรงงาน การเพิ่มประสิทธิภาพ ในกระบวนการผลิต การเพิ่มความสามารถในการต่อรองราคาวัตถุดิบ พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้รับประโยชน์ จากราคาถ่านหินและราคาค่าไฟฟ้าที่ลดลง ส่งผลให้ธุรกิจซีเมนต์ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก มีต้นทุนราคาพลังงานที่ลดลง นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการ 3 แห่ง เพื่อเพิ่มช่องทางของรายได้ ได้แก่ บริษัท เซเม็กซ์ ซีเมนต์ (บังกลาเทศ) จำกัด เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท สยามซิตี้ซีเมนต์ (บังกลาเทศ) จำกัด บริษัท เซเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ปูนซีเมนต์ ตราลูกโลก จำกัด และการเข้าซื้อสินทรัพย์ และกิจการบางส่วนของบริษัท วาเลนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจให้บริการทำความสะอาด สำหรับอุตสาหกรรม ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ บริษัทฯ สามารถทำยอดขายสุทธิที่16,043 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 2,581 ล้านบาท และสามารถจ่ายปันผลระหว่างกาลสำหรับ 6 เดือนแรกประจำปี 2559 ให้แก่ผู้ถือหุ้น เป็นจำนวนเงิน 8 บาท ต่อหุ้นรวมเป็นเงินจำนวน 1,840 ล้านบาท" นายศิวะ กล่าว
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในรายธุรกิจนั้น มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจปูนซีเมนต์ มีการ ขยายตัวในระดับภูมิภาคจากแผนส่งเสริมการขยายธุรกิจโรงงานปูนซีเมนต์ ที่บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัทใน ประเทศกัมพูชา ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จตรงตามกำหนดเวลา รวมทั้ง ความสำเร็จ จากการเข้าซื้อกิจการบริษัท เซเม็กซ์ ซีเมนต์ (บังกลาเทศ) จำกัด และบริษัท เซเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ส่งผล ให้รายได้สุทธิของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นทันที 260 ล้านบาท ส่วนธุรกิจคอนกรีต ผสมเสร็จและอะกรีเกต ซึ่งดำเนินงาน โดย บริษัท นครหลวงคอนกรีต จำกัด ภายใต้ชื่อ อินทรีคอนกรีต และอินทรีอะกรีเกต นั้น มีปริมาณการขายของ อินทรีคอนกรีตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 แม้รายได้จะลดลงเล็กน้อย ซึ่งมีผลกระทบส่วนใหญ่มาจากความกดดันด้านราคา ในตลาด โดยเฉพาะผู้เล่นในตลาดคอนกรีตผสมเสร็จ ที่ลดราคาลงโดยมีจุดประสงค์เพื่อปิดการขาย อินทรีอะกรีเกต มีการขยายตัวด้านปริมาณการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยได้รับอานิสงส์จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของหินขนาดใหญ่(ขนาด 20-40 มิลลิเมตร และ 50-80 มิลลิเมตร) จากโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมของกรมโยธาธิการและผังเมืองซึ่งอยู่ในเขตภาคกลางเป็นส่วนใหญ่
ด้านผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบา ซึ่งจำหน่ายภายใต้ชื่อ อินทรีซุปเปอร์บล๊อก และดำเนินงานโดย บริษัท อินทรีซุปเปอร์บล๊อกจำกัด มียอดขายของเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการมุ่งเน้น การขายไปที่สินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น ทับหลังสำเร็จรูปและผนังสำเร็จรูปเสริมแรงที่มีน้ำหนักเบา การแนะนำ อินทรีซุปเปอร์บล๊อกพลัส และการเจาะตลาดผ่านการขายควบคู่ไปกับปูนซีเมนต์ ปูนมอร์ตาร์ และคอนกรีต ผสมเสร็จ นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังคงจัดลำดับความสำคัญกับสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น ทับหลังสำเร็จรูป และ ผนังสำเร็จรูปเสริมแรงที่มีน้ำหนักเบา เคาน์เตอร์ และบริษัทฯ ยังมองหาโอกาสทางธุรกิจในตลาดตกแต่งอีกด้วย
ส่วนผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้สำหรับตกแต่ง ภายใต้ชื่อ คอนวูด ได้ออกกลยุทธ์ ขยายช่องทาง และโอกาส ทางธุรกิจ โดยเน้นการทำการตลาดทั้งในประเทศและในภูมิภาคเอเชียผ่านสถาปนิกและผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สนใจผลิตภัณฑ์สำหรับตกแต่งทั้งภายนอก และภายใน นอกเหนือจากนั้น คอนวูดยังสร้างสรรค์สินค้า หลากหลาย ดีไซน์ และการใช้สอยเพื่อตอบโจทย์ตลาดที่อยู่อาศัยกับผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายหลักอีกด้วย โดย บริษัท พีที คอนวูด อินโดนีเซีย จำกัด มียอดขายที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ก็ยังเผชิญกับ สถานการณ์ ตลาดต่างประเทศที่ท้าทาย ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น ธุรกิจการส่งออกยังคง มุ่งเน้นไปที่ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และตะวันออกกลาง
และธุรกิจบริหารจัดการของเสียอย่างครบวงจร โดย บริษัท อินทรีอีโคไซเคิล จำกัด ได้ขยายขอบข่ายงาน บริการครบวงจรด้วยการนำเสนอบริการอุตสาหกรรม ผ่านการเข้าซื้อบริษัท วาเลนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นกิจการด้านการ ให้บริการทำความสะอาดอุตสาหกรรม ซึ่งการเข้าซื้อในครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีในการขยาย ขอบเขตงานบริการ ให้แก่ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานและเป็นการเพิ่มศักยภาพการให้บริการอุตสาหกรรมด้วยความรู้ความ เชี่ยวชาญและเทคนิคการจัดการทำให้บริษัทฯ มีความโดดเด่นในธุรกิจบริการด้านการบริหาร จัดการของเสีย และการบริการให้กับกลุ่มอุตสาหกรรม
สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมก่อสร้างในปีนี้ยังคงทรงตัว เนื่องจากการก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภค ขนาดใหญ่ของรัฐบาลยังคงมีความไม่แน่นอน ขณะที่การลงทุนจากภาคเอกชนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมบ่งชี้ว่า ตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศมีการเติบโตที่ 18 ล้านตัน ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว และจะยังคงทรงตัวในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าการใช้ปูนซีเมนต์ทั้งปี 2559 จะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 2-3 ซึ่งการเติบโตส่วนใหญ่ มาจากการกำลังซื้อ ในภูมิภาค นอกจากนั้น การลงทุนของรัฐบาลยังไม่ได้กระตุ้นความต้องการปริมาณการใช้คอนกรีต ในครึ่งปีแรก ของปีเท่าที่คาดการณ์ไว้ มีเพียงโครงการมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบลในโครงการต่างจังหวัด (5 ล้านบาทต่อตำบล) ที่สามารถกระตุ้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในช่วงเดือนมกราคมถึงต้นเดือนเมษายน และยังส่งผลเชิงบวกต่อยอดขายคอนกรีตผสมเสร็จ โดยเฉพาะวัสดุสำหรับใช้ถม