กรุงเทพฯ--26 ก.ค.--มาสเตอร์โพลล์
แกนนำชุมชน หนุนรัฐทำประเมินผลกระทบการออกกฎหมายตาม ม.44 โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย เพื่อสร้างการยอมรับและลดความขัดแย้ง
รศ.ดร.เชษฐ รัชดาพรรณาธิกุล ประธานชมรมนักวิจัยไทยเพื่อความสุขชุมชน (Thai Researchers in Community Happiness Association, TRICHA) ผลวิจัยเชิงสำรวจมาสเตอร์โพลล์(Master Poll) เรื่อง มาตรา 44 กับกระบวนการทำอาร์ไอเอ (RIA) จำนวนทั้งสิ้น 1,107 ชุมชน จาก 27 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นครปฐม ชลบุรี เพชรบุรี ชัยนาท สระบุรี สระแก้ว ขอนแก่น นครพนม บึงกาฬ อำนาจเจริญ มหาสารคาม หนองบัวลำภู อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด อุทัยธานี พิจิตร พิษณุโลก เชียงราย น่าน ลำปาง สงขลา สุราษฎร์ธานี พังงา และนราธิวาส โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบใช้ความน่าจะเป็นทางสถิติแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายขั้น (Stratified Multi-Stage Sampling) จากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลแกนนำชุมชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ โดยมีช่วงความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 ดำเนินโครงการในวันที่ 8-13 กรกฎาคม 2559
ผลสำรวจในประเด็นแรกพบว่าแกนนำชุมชนประมาณ 1 ใน 3 (ร้อยละ 39.3) ระบุติดตามข้อมูลข่าวสารของหัวหน้า คสช. ในการใช้มาตรา 44 เพื่อออกกฎหมายคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและประชาชนโดยส่วนรวมอย่าง ต่อเนื่อง ในขณะที่ร้อยละ 54.6 ระบุติดตามบ้าง และพบว่าตัวอย่างส่วนใหญ่มากกว่า 2 ใน 3 เห็นผลงานจากการใช้มาตรา 44 ในการออกกฎหมายของ คสช. โดยร้อยละ 95.0 ระบุเห็นผลงานในการออกกฎหมายเรื่องการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และการทำประมงผิดกฎหมาย ร้อยละ 94.3 ระบุเห็นผลงานการออกกฎหมายเรื่องการแก้ปัญหาการบุกรุกและถือครองประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ร้อยละ 92.1 ระบุเห็นผลงานจากการออกกฎหมายเกี่ยวกับการจัดระเบียบสังคม และร้อยละ 73.0 ระบุเห็นผลงานจากการออกมาตรการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของประเทศ ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญที่น่าพิจารณาคือเมื่อคณะผู้วิจัยได้สอบถามถึงการรับรู้รับทราบกรณีคณะรัฐมนตรีมีมติให้ทุกส่วนราชการจะต้องมีการวิเคราะห์ผลกระทบจากการออกกฎหมายในทุกขั้นตอน นั้นพบว่าแกนนำชุมชนร้อยละ 65.6 ระบุทราบมาก่อนแล้ว ในขณะที่ประมาณ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 34.4 ระบุยังไม่ทราบ/เพิ่งทราบจากการสัมภาษณ์ นอกจากนี้ผลการสำรวจยังพบว่าแกนนำชุมชนเกือบร้อยละร้อย (ร้อยละ 97.5 ) คิดว่าประชาชนจะได้รับประโยชน์จากมาตรา 77 ในร่างรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐจะต้องมีการทบทวนความจำเป็นในการออกกฎหมายแต่ละฉบับ
เมื่อสอบถามถึงผลดีของการประเมินผลกระทบจากการออกกฎหมาย หรือการทำอาร์ไอเอ (RIA) นั้นพบว่าร้อยละ 95.6 ระบุว่าการทำอาร์ไอเอทำให้รัฐบาลมีข้อมูลที่จะนำไปวิเคราะห์ปัญหาและประเด็นในการปฏิรูปได้ชัดเจนขึ้น รองลงมาคือร้อยละ 94.4 ระบุคิดว่าจะสามารถประเมินผลความคุ้มค่าของกฎหมาย/มาตรการที่จะประกาศใช้ได้ ร้อยละ 92.0 ระบุเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชน/สาธารณชนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการออกกฎหมาย ร้อยละ 91.8 ระบุทำให้เกิดความโปร่งใสและลดปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นในขั้นตอนการออกกฎหมายได้ หรือการหาประโยชน์จากช่องว่างของกฎหมายได้ และร้อยละ 90.5 ระบุการประเมินผลกระทบจากการออกกฎหมาย หรือการทำอาร์ไอเอ (RIA) จะช่วยสร้างการยอมรับและลดความขัดแย้งในสังคมต่อกฎหมายที่จะประกาศใช้
สำหรับความเชื่อมั่นของแกนนำชุมชนกรณีการประเมินผลกระทบจากการออกกฎหมาย หรือการทำอาร์ไอเอ (RIA) ในทุกขั้นตอนจะทำให้กฎหมายที่ออกมามีคุณภาพและตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงได้หรือไม่นั้น ผลการสำรวจพบว่าแกนนำชุมชนร้อยละ 94.2 ระบุเชื่อมั่นว่าจะเป็นเช่นนั้น ในขณะที่ร้อยละ 5.8 ระบุไม่เชื่อมั่น
ทั้งนี้เมื่อสอบถามถึงกระทรวงที่ควรมีการประเมินผลกระทบจากการออกฎหมายหรือควรทำอาร์ไอเออย่างเร่งด่วนนั้นพบว่า ร้อยละ 59.9 ระบุกระทรวงมหาดไทย ร้อยละ 44.9 ระบุกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยละ 30.1 ระบุกระทรวงยุติธรรม ร้อยละ 19.6 ระบุกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม และร้อยละ 18.3 ระบุกระทรวงศึกษาธิการ ตามลำดับ (รายละเอียดเพิ่มเติมในตารางที่ 7)
นอกจากนี้ผลสำรวจยังพบว่าแกนนำชุมชนกว่าร้อยละ 90 ระบุมีความสนใจที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบของการออกกฎหมายแต่ละฉบับ และส่วนใหญ่คือร้อยละ 83.0 ระบุเชื่อมั่นว่ากระบวนการประเมินผลกระทบจากการออกฎหมายหรือการทำอาร์ไอเอจะเป็นไปอย่างโปร่งใสและปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง และเกือบร้อยละร้อย (ร้อยละ 99.6) ต้องการให้แต่ละกระทรวงมีการเผยแพร่รายงานการประเมินผลกระทบทางกฎหมายให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบด้วย (พิจารณารายละเอียดในตารางที่ 8-10 )
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญด้านสื่อสารองค์กร ได้สอบถามกลุ่มประชาชนเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นการรับรู้ข้อมูลข่าวสารข้างต้น พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ ยังไม่รับรู้ว่า มีหน่วยงานในการประเมินผลกระทบจากการออกกฎหมาย หรือการทำอาร์ไอเอ (RIA) อย่างจริงจัง จึงเสนอแนะให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินงานดังกล่าวนำเสนอและเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนรับทราบอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเด็นที่มีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่อาจเข้าข่ายความผิดทางกฎหมายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือ ไม่ทราบข้อกฎหมาย ซึ่งจะทำให้ประชาชนเข้าใจข้อกฎหมายมากขึ้นหากรัฐบาลหรือหน่วยงานผู้บังคับใช้กฎหมายมีการประกาศใช้อย่างจริง และยังจะช่วยลดปัญหาการกระทบกระทั้งระหว่างประชาชนกับหน่วยงานภาครัฐ ที่สำคัญยังเป็นประโยชน์ต่อกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานที่จะออกกฎหมายได้นำผลการประเมินนั้นๆ มาประกอบการพิจารณาก่อนออกกฎหมายและบังคับใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
คุณลักษณะทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
ตัวอย่างแกนนำชุมชนร้อยละ 86.3 เป็นเพศชาย ในขณะที่ร้อยละ 13.7 เป็นเพศหญิง ร้อยละ 6.9 มีอายุต่ำกว่า 40 ปี ร้อยละ 27.3 ระบุอายุ 40-49 ปีและร้อยละ 65.8 ระบุอายุตั้งแต่ 50 ปี ขึ้นไป ทั้งนี้ เมื่อ พิจารณาจำแนกตามระดับการศึกษาที่สำเร็จมาชั้นสูงสุดพบว่า ร้อยละ 29.6 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น/ต่ำกว่า ร้อยละ 46.4 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ป.ว.ช. ร้อยละ 6.0 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญา/ป.ว.ส. และร้อยละ 18.0 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ตามลำดับ
ตัวอย่างแกนนำชุมชนร้อยละ 67.4 มีอาชีพประจำคือเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป ร้อยละ 17.8 ระบุประกอบธุรกิจส่วนตัว/ค้าขาย ในขณะที่ร้อยละ 14.8 ระบุมีอาชีพอื่นๆ อาทิ ข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ และไม่ได้ประกอบอาชีพใดๆ ทั้งนี้เมื่อพิจารณารายได้ต่อเดือนของครอบครัวพบว่า ตัวอย่างแกนนำชุมชนร้อยละ 15.7 ระบุมีรายได้ครอบครัวไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 18.1 ระบุมีรายได้ครอบครัว 10,001–15,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 24.4 ระบุมีรายได้ 15,001-20,000 บาทต่อเดือน ในขณะที่ตัวอย่างแกนนำชุมชนร้อยละ 41.8 ระบุมีรายได้ครอบครัวมากกว่า 20,000 บาทต่อเดือน ตามลำดับ
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจำแนกตามรายภูมิภาคพบว่าตัวอย่างแกนนำชุมชนร้อยละ 33.8 อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาคือร้อยละ 25.5 ระบุอยู่ในพื้นที่ภาคกลาง ร้อยละ 18.4 ระบุอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ ร้อยละ 13.4 ระบุอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ในขณะที่ร้อยละ 8.9 ระบุอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตามลำดับ