กรุงเทพฯ--29 ก.ค.--บลจ.กสิกรไทย
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทยได้ปรับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2559 โดยคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,550 จุด ด้วยอัตราส่วน Forward P/E ที่ระดับ 16.5 เท่า ซึ่งเป็นการปรับขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่เคยตั้งไว้ตอนต้นปีอยู่ที่ระดับ 1,450-1,500 จุด ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากภาวะอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานานกว่าที่ตลาดคาด ส่งผลให้การลงทุนในหุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้นในฐานะเป็นสินทรัพย์เสี่ยงแต่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากมาก ประกอบกับตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าธนาคารสหรัฐฯ(เฟด) น่าจะเลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปอย่างน้อยในช่วงเดือนธันวาคมปีนี้ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยได้รับอานิสงส์ ถึงแม้ว่าระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ของตลาดถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต แต่เป็นไปในทางเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำและยาวนานกว่าปกติ
สำหรับมุมมองการลงทุนในหุ้นไทย นางสาวธิดาศิริกล่าวว่า "ด้วยมุมมองการลงทุนในระยะกลางถึงยาว บลจ.กสิกรไทยมองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ โดยผู้ลงทุนสามารถทยอยเข้าสะสมในหุ้นเพิ่มเติมได้ ทั้งนี้ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างแรงและรวดเร็ว ทำให้อาจมีโอกาสปรับตัวผันผวนบ้างในระยะสั้น แต่การปรับตัวลงอาจจะไม่มากนักเนื่องจากยังมีปัจจัยบวกด้านสภาพคล่องในตลาดที่มีอยู่ในระดับสูง ประกอบกับในช่วงที่การลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้คนหันมาลงทุนในหุ้นมากขึ้น นอกจากนี้บลจ.กสิกรไทยยังมีความเชื่อมั่นต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐ รวมถึงโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะช่วยสนันสนุนให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามปัจจัยที่จะต้องจับตามองคือ ผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงประเด็นการจัดการเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งหากมีความเป็นรูปธรรมและกำหนดเวลาที่ชัดเจนจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ"
ส่วนด้านปัจจัยต่างประเทศ ตลาดและนักลงทุนได้คลายความกังวลเกี่ยวกับจังหวะในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่ส่วนใหญ่มองว่ามีโอกาสปรับขึ้นเพียง 1 ครั้งเท่านั้นภายในปีนี้ ในช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งส่งผลดีในแง่เงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าในตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทย ขณะที่เหตุการณ์ Brexit ไม่ได้ส่งผลกระทบในเชิงลบมากนักเหมือนที่ตลาดเคยกังวล เห็นได้จากตลาดหุ้นโลกที่สามารถปรับตัวเป็นบวก รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ได้รับผลกระทบจำกัด อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องติดตามต่อเนื่องคือ ความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศสมาชิกอื่นๆในสหภาพยุโรป ที่อาจมีประเด็นเรื่องขอแยกตัวเช่นเดียวกับอังกฤษ ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดเริ่มกลับมากังวลได้อีกครั้งหนึ่ง
นางสาวธิดาศิริกล่าวต่อไปว่า ด้วยปัจจัยต่างๆที่กล่าวมา บลจ.กสิกรไทย จึงขอแนะนำสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการจะเข้าลงทุนในกองทุน LTF และ RMF ในช่วงนี้ ว่าสามารถทยอยเข้าซื้อกองทุน LTF และ RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มเติมได้ เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว พร้อมทั้งการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งบลจ.กสิกรไทยมีกองทุน LTF/RMF หลากหลายนโยบายครอบคลุมทุกความต้องการของผู้ลงทุน โดยกองทุนที่แนะนำและมีผลการดำเนินงานที่น่าสนใจ ได้แก่ กองทุนเปิดเค 20 ซีเล็คท์หุ้นระยะยาวปันผล (K20SLTF) ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นเด่นที่มีศักยภาพสูง ไม่เกิน 20 ตัว, กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF) ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และกองทุนเปิดเค Mid Small Cap หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (KMSRMF) ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีแนวโน้มในการเติบโตสูง
ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2559 กองทุน K20SLTF ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 14.45% และย้อนหลัง1 ปี อยู่ที่ 17.52% ด้านกองทุน KDLTF ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 18.95% และกองทุน KMSRMF ซึ่งเพิ่งจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 30 กันยายนปีที่ผ่านมา กองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 19.32% และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 23.83% เมื่อเทียบกับ SET Index ที่ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 11.56%
ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุน LTF-RMF ของ บลจ. กสิกรไทย สามารถขอรับหนังสือชี้ชวน และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888