กรุงเทพฯ--4 ส.ค.--เวิรฟ
บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำยนตรกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ Mercedes-Benz electric Drivingผุดแคมเปญการตลาด DEFINE TOMORROW เพื่อตอกย้ำความเป็นที่หนึ่งด้านนวัตกรรมยานยนต์ พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาเรื่องล่าสุด"Loopbreaker" เพื่อสื่อสารถึงความโดดเด่นของรถยนต์กลุ่ม electric Driving ใน 3 ด้าน คือ นวัตกรรมอันล้ำสมัย (Innovations) สมรรถนะอันทรงพลัง (High Performance) และเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (electric Drive) พร้อมกันนี้ทางบริษัทฯ ยังได้เปิดตัว Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC รถยนต์ในกลุ่มเอสยูวีที่รวมความแข็งแกร่งและความสง่างามอย่างที่สุดไว้ในหนึ่งเดียว ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่ไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง โดยมาให้เลือกสรรใน 2 ดีไซน์ ได้แก่ GLE 500 e 4MATICExclusive นำเสนอในราคา 4,490,000 บาท และ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic นำเสนอในราคา 4,990,000 บาท
มร. ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ที่จะไม่หยุดนิ่งในการนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทั้งในวันนี้ และวันข้างหน้า เมอร์เซเดส-เบนซ์จึงนำเสนอยนตรกรรมรุ่นใหม่ๆ ให้กับลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง สำหรับรถยนต์ในกลุ่ม Mercedes-Benz electric Driving นับเป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงก้าวย่างสำคัญของเราบนเส้นทางสู่โลกของการขับขี่ที่ไม่มีการปล่อยไอเสีย และยังพิสูจน์ด้วยว่าไม่ได้มีเพียงรถยนต์ขนาดเล็กเท่านั้นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่เทคโนโลยีระบบส่งกำลังที่ก้าวล้ำก็ทำให้รถยนต์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน"
"บริษัทฯ วางแผนที่จะนำเสนอรถยนต์ Mercedes-Benz electric Driving ให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับเป็นการปูรากฐานเพื่อนำไปสู่การพัฒนารถยนต์ที่ไม่ปล่อยไอเสียเลย (Zero Emission) ในอนาคต ตอกย้ำความเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคในฐานะเจ้าแห่งยนตรกรรมระดับพรีเมียมที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า พร้อมทั้งยังเป็นผู้นำการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้วางรากฐานไว้เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025"
"เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ได้นำเสนอรถยนต์รุ่น The S 500 e และ The C 350 e รถยนต์ซีดานเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดออกสู่ตลาด และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคทั้งในด้านเทคโนโลยีอันล้ำสมัย และสมรรถนะอันทรงพลัง ล่าสุดบริษัทฯ จึงได้เปิดตัวMercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC รถยนต์ในกลุ่มเอสยูวีที่รวมความแข็งแกร่งและความสง่างามอย่างที่สุดไว้ในหนึ่งเดียว เพื่อเติมเต็มกลุ่ม Mercedes-Benz electric Driving ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยรถยนต์ทั้ง 3 รุ่นในกลุ่มนี้ ล้วนเป็นรุ่นที่ประกอบในประเทศด้วยกันทั้งสิ้นซึ่งสำหรับ Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC มีกลุ่มเป้าหมายคือลูกค้าที่ชื่นชอบสมรรถนะอันทรงพลัง พร้อมทั้งฟังก์ชั่นการใช้งานที่สามารถตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ แต่ยังคงตอบโจทย์ทั้งในเรื่อง "สิ่งแวดล้อม" และ "ความประหยัด" ได้เป็นอย่างดี" มร.ไมเคิลกล่าวเพิ่มเติม
มร. ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "กลยุทธ์หลักเพื่อเตรียมพร้อมสู่การก้าวเข้าสู่โลกยานยนต์แห่งอนาคตของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในปีนี้ คือสร้างการรับรู้ถึงสมรรถนะอันชาญฉลาดของรถยนต์Mercedes-Benz electric Driving โดยนำเสนอผ่านแคมเปญการตลาด DEFINE TOMORROW ผ่านภาพยนตร์โฆษณาในรูปแบบภาพยนตร์สั้น เรื่อง "Loopbreaker" โดยมี คุณชมพู่ อารยา เอ. ฮาร์เก็ต แบรนด์แอมบาสเดอร์เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) นำแสดงภายใต้การกำกับของผู้กำกับมือทอง อย่าง คุณเป็นเอก รัตนเรือง เพื่อถ่ายทอดนิยามใหม่ของยนตรกรรม Mercedes-Benz electric Driving ทั้งใน ด้านนวัตกรรมอันล้ำสมัย (Innovations) อย่าง โหมดการทำงานของรถยนต์ในกลุ่ม Mercedes-Benz electric Driving ที่มีให้เลือกถึง 4 แบบ คือHybrid, E-Mode, E-Save และ Charge หรือระบบควบคุมรถอัจฉริยะ ที่จะทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อปรับการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าให้เหมาะสมที่สุด ด้านสมรรถนะอันทรงพลัง (High Performance) ด้วยโหมดการขับขี่ 5 รูปแบบ คือ Individual (I), Sport+ (S+), Sport (S), Comfort (C) และ Economy (E) พร้อมกำลังแรงม้าและแรงบิดจากทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ด้านเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (electric Drive) ที่ผู้ขับขี่สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบโดยไม่มีการคายไอเสียด้วยโหมด E-Mode พร้อมทั้งสามารถลดอัตราการใช้พลังงานในรถยนต์ ผ่านการนำพลังงานที่เกิดขึ้นจากการเหยียบแป้นเบรกหรือปล่อยให้รถเคลื่อนที่โดยไม่อาศัยพลังงานจากเครื่องยนต์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด"
มร. ฟรังค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "ภายในงาน เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ยังได้ทำการเปิดตัวMercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ยนตรกรรมกลุ่มเอสยูวีที่เป็นเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ผสมผสานเทคโนโลยีล่าสุดของเครื่องยนต์ไฮบริด นวัตกรรมด้านยานยนต์ และรูปลักษณ์อันโฉบเฉี่ยวเข้าไว้ด้วยกัน สำหรับ GLE 500 e 4MATIC มีให้เลือก 2 ดีไซน์ด้วยกัน คือ Exclusive และ AMG Premium โดยรถยนต์รุ่นนี้มาพร้อมกับการปล่อย CO2 ที่ลดเหลือเพียง 83 กรัม/กิโลเมตร
ดีไซน์ภายนอก
โดดเด่นด้วยลายเส้นสวยคมสะดุดตา พร้อมกระจังหน้าขนาดใหญ่ เส้นสายหลังคาถูกออกแบบให้ลาดเอียงไปทางด้านท้าย ที่เน้นดีไซน์แบบเรียบหรู ล้ำสมัย โดยรุ่นที่เปิดตัวในครั้งนี้ คือ GLE 500 e 4MATIC Exclusive และ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic ที่ตกแต่งด้วยกระจังหน้าสีเงินเสริมโครเมียมแบบ 2 แถบ พร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ตรงกลาง, กันชนด้านหน้าพร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยโครเมียม, ขอบหน้าต่างแบบโครเมียม, ปลายท่อไอเสียเสริมโครเมียม 2 ท่อ, ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System, ไฟdaytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน, ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง ไฟท้าย และไฟเบรก ดวงที่ 3 แบบ LED, กระจกมองข้างด้านผู้ขับขี่และกระจกส่องหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ, บันไดข้างสเตนเลสดีไซน์สปอร์ต พร้อมปุ่มยางกันลื่น โดย GLE 500 e 4MATIC Exclusiveจะมาพร้อมกับล้ออัลลอย ขนาด 20 นิ้ว สี Himalayas grey ส่วน GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic จะเพิ่มลุคสปอร์ตยิ่งขึ้น ด้วยล้ออัลลอย ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG ขนาด 20 นิ้ว สี titanium grey, ชุดแต่ง AMG bodystyling ที่บริเวณกันชนหน้า-หลัง, ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน, สัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์บนคาลิปเปอร์เบรกหน้า รวมถึงเพิ่มความรู้สึกกว้างขวางด้วยหลังคาพาโนรามิคซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิด ได้ด้วยระบบไฟฟ้า (Electric panoramic sliding glass sunroof)
ดีไซน์ภายใน
ยังคงเน้นความหรูหรา สง่างาม แต่แฝงกลิ่นอายความสปอร์ตเอาไว้เช่นเดิม โดยทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับด้านบนของคอนโซลหน้า และด้านบนของแผงหุ้มประตูหุ้มด้วยหนัง Artico, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นพร้อมระบบผ่อนแรงและปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ, ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์(Push start), ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMATIC แบบ 2 โซน และระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ Bluetooth โดยสำหรับ GLE 500 e 4MATIC Exclusive ตกแต่งด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง และมาพร้อมระบบมัลติมีเดีย อย่าง วิทยุซีดี MB Audio 20 สำหรับGLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic จะตกแต่งด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง nappa อีกทั้งยังมาพร้อมกับระบบ COMAND Online, ระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon® Logic 7® และ ฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apply CarPlay™) นอกจากนี้ห้องโดยสารภายใน ของทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับเบาะนั่งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำ โดยเบาะนั่งด้านหลังสามารถพับได้ทั้ง 1:3 / 2:3 ตามความต้องการเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บของที่เพิ่มขึ้น พร้อมเพิ่มสุนทรียศาสตร์แห่งการขับขี่ด้วยไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 3 สี
นวัตกรรม / เทคโนโลยี
รถยนต์ GLE 500 e 4MATIC ยังสามารถเลือกโหมดการทำงานของระบบ Plug-In HYBRID ได้ถึง 4 แบบ คือ
· HYBRID: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเท่าที่จำเป็น หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20% ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น และถ้า ผู้ขับขี่ปรับเกียร์อัตโนมัติเป็นโหมดสปอร์ต (S) รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียวมอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ทำงาน
· E-MODE: สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว)ได้จนถึงความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นระยะทางสูงสุด 30 กิโลเมตรโดยไม่มีการคายไอเสีย (ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานของแบตเตอรี่และความเร็วที่ใช้) โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองที่การทำงานของระบบนี้ สามารถครอบคลุมการใช้งานได้เป็นอย่างดี ผู้ขับขี่จะต้องไม่กดแป้นคันเร่งจนเกินแรงต้าน หากกดแป้นคันเร่งเกินแรงต้านเมื่อใด เครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนรถยนต์ทันที
· E-SAVE: ในขณะที่เริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลักในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับตอนเริ่มต้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการวางแผนการเดินทางล่วงหน้าว่ากำลังจะต้องเดินทางเข้าเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น หลังจากชาร์จแบตเตอรี่ high-volt จนเต็มแล้ว ควรเลือก E-SAVE ในการเริ่มต้นเดินทางก่อนที่จะเข้าเมือง เมื่อขับถึงในเมืองก็จะมีปริมาณกระแสไฟสูงสุดที่จะใช้ E-MODE สำหรับการเดินทางในเมืองได้อย่างเต็มที่
· CHARGE: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลยเพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนื่องแรงหมุนของเครื่องยนต์จะถูกนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าไปสะสมไว้ในแบตเตอรี่และจะมีการแปลงพลังงานจลน์ที่เกิดจากการชะลอความเร็วหรือการเบรกให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าและเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่อีกด้วย เมื่อชาร์จไฟเต็ม ระบบจะปรับไปที่การทำงานในรูปแบบ E-SAVE โดยอัตโนมัติ
นอกจากนี้ Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC มาพร้อมกับระบบ Dynamic Select ที่มีโหมดการขับขี่ 5 แบบ คือ Individual ที่สามารถช่วยจดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ขับได้, Comfort ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลาย สะดวกสบายเหมือนขับรถซาลูน, Slippery เหมาะกับการวิ่งบนถนนที่ลื่น, Sport และ Sport+ เน้นการเพิ่มความเร้าใจให้กับการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น
ระบบความปลอดภัย ใหม่ที่ผสานความสะดวกสบายและความปลอดภัยเข้าไว้ด้วยกันซึ่งเรียกว่าระบบ "Mercedes-Benz Intelligent Drive"เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด ด้วยระบบการช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ โดยระบบดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากแนวคิดการปกป้องก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุเข้าไว้ด้วยกันภายใต้ระบบควบคุมอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวที่ทำงานสอดประสานกัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมฟังก์ชัน Electronic Traction System 4ETS, ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE system, โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (Electronic Stability Program - ESP), ระบบกันสะเทือนแบบ AIRMATIC, ระบบรักษาสมดุลของตัวรถเมื่อมีลมมาปะทะด้านข้าง (Crosswind assist), ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill-start Assist, ไฟเบรกกระพริบอัตโนมัติเมื่อเบรกฉุกเฉิน (Adaptive Brake Light), ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-lock braking system – ABS),ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Acceleration skid control –ASR), ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับรถ (ATTENTION ASSIST), ระบบรักษาความเร็ว (Cruise Control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC), เซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด (PARKTRONIC), ระบบ ช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist) เป็นต้น
GLE 500 e 4MATIC ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน แบบวี เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 6 สูบ ความจุ กระบอกสูบ 2,996 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 333 แรงม้า และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 116 แรงม้า ที่ 5,250-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 480 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ1,600-4,000 ต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กม/ชม. ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS แบบ DIRECT SELECT พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย พร้อมด้วยการติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ขนาดความจุ8.7 กิโลวัตต์ น้ำหนักประมาณ 114 กิโลกรัม ไว้ที่ใต้เพลาขับด้านหลัง ซึ่งมีระบบหล่อเย็นจากน้ำ และฝาป้องกันการกระแทกที่ผลิตจากแผ่นโลหะปิดทับไว้ อีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้รับความปลอดภัยสูงสุด โดยแบตเตอรี่นี้สามารถชาร์ตไฟให้เต็มได้ภายในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ส่งผลให้สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 30 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 130 กม./ชม.
*อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน และ อัตราการปล่อย CO2 อ้างอิงจากการทดสอบตามมาตรฐานของสหภาพยุโรปเพื่อจุดประสงค์ในการเปรียบเทียบความแตกต่างของรถยนต์ในแต่ละประเภทเท่านั้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงกับรถยนต์คันใดคันหนึ่งโดยเฉพาะและไม่สามารถนำไปใช้เป็นข้อผูกมัดในการเสนอขายสินค้าได้
· GLE 500 e 4MATIC Exclusive ราคา 4,490,000 บาท
· GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic ราคา 4,990,000 บาท