กรุงเทพฯ--4 ส.ค.--อินทัช โฮลดิ้งส์
ในยุคแห่งเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล โลกมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ความเจริญด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการเติบโตทางธุรกิจ การค้า การบริการ และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศทำให้รูปแบบการใช้ชีวิต การเข้าถึงข้อมูล และความต้องการของผู้คนเปลี่ยนไป
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) บริษัทบริหารสินทรัพย์ชั้นนำของประเทศ ได้เล็งเห็นถึงการเสริมสร้างโครงสร้างด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม สื่อ เทคโนโลยีสารสนเทศ และดิจิตอลคอนเทนต์ที่แข็งแกร่งให้กับประเทศไทย เพื่อเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและภาคธุรกิจ รวมไปถึงเชื่อมโยงความต้องการของคนไทยเข้ากับเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ผ่านการบริหารงานอย่างมืออาชีพ ตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีความรับผิดชอบต่อสังคม รวมถึงสร้างมูลค่าและการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างเป็นธรรมโดยเสมอมา จนได้รับประกาศนียบัตร"Certificate of ESG100 Company" เป็นปีที่สองติดต่อกัน จากสถาบันไทยพัฒน์ หน่วยงานด้านการพัฒนาฐานข้อมูลความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย ว่าเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG)
ปัจจุบัน การลงทุนของอินทัชประกอบด้วย ธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมไร้สาย ดำเนินงานภายใต้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ธุรกิจดาวเทียมและธุรกิจต่างประเทศ ดำเนินงานภายใต้บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) รวมไปถึงธุรกิจอื่นๆ อาทิ ไฮ ช็อปปิ้ง และโครงการ อินเว้นท์ (InVent) เป็นต้น
การลงทุนพัฒนาเพื่อเชื่อมโยงความต้องการของคนไทยเข้ากับเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
"เมื่อเทียบกับสมัยก่อน ชีวิตประจำวันของเราในปัจจุบันมีการส่งผ่านข้อมูลที่มีขนาดและจำนวนมหาศาล อินทัชจึงต้องพร้อมตอบโจทย์ด้านการเชื่อมต่อการสื่อสารของประเทศไทยในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม" - นายฟิลิป เชียง ชอง แทน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
ปัจจุบัน เราได้ก้าวเข้าสู่โลกไร้พรมแดนที่การติดต่อสื่อสารกับผู้คนทั่วโลกเป็นไปได้อย่างสะดวกสบาย อินทัช ได้มีการลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคมของไทยเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานนี้อย่างต่อเนื่อง จากก้าวแรกที่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (เอไอเอส) ได้รับอนุญาตจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย หรือ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน ให้ดำเนินการติดตั้งและให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเซลลูลาร์ 900 จนกลายเป็นผู้นำธุรกิจการสื่อสารไร้สายชั้นนำที่ให้บริการระบบ 2G 3G จนมาถึงบริการ 4G แก่ผู้ใช้บริการ 42 ล้านเลขหมายในปัจจุบัน[1] ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถรับส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างอิสระ
อีกหนึ่งโครงสร้างพื้นฐานที่มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนโครงข่ายด้านการติดต่อสื่อสารของประเทศไทย คือ ดาวเทียมสื่อสาร ของบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ที่ได้รับสัมปทานภายใต้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการดำเนินโครงการดาวเทียมสื่อสารแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2534 ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามดาวเทียมสื่อสารแห่งชาติดวงแรกอย่างเป็นทางการว่า "ไทยคม" ("THAICOM") มาจากคำว่า Thai Communications หรือ ไทยคมนาคม เพื่อเป็นสัญญลักษณ์การเชื่อมโยงประเทศไทยกับเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ โดยไม่นานมานี้ไทยคมได้ตอกย้ำความสำเร็จไปอีกขั้นกับการปล่อยดาวเทียมไทยคม 8 ขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2559
การช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปข้างหน้าผ่านการสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์
การนำเทคโนโลยีและดิจิตอลมาสร้างมูลค่าให้ธุรกิจจะช่วยยกระดับเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทยเป็นอย่างมาก อินทัช เล็งเห็นความสำคัญของการสนับสนุนกลุ่มผู้ประกอบการด้านไอที หรือ สตาร์ทอัพที่เกิดจากไอเดียสร้างสรรค์ และการนำเทคโนโลยีมาต่อยอดให้เกิดประโยชน์
นายฟิลิป กล่าวว่า "การเฟ้นหาช่องทางหรือโอกาสในการสร้างสรรค์ธุรกิจแบบใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์และสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภคเป็นเรื่องที่น่าสนใจและท้าทายในเวลาเดียวกัน เพราะเราอยู่ในธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา"
ในปี พ.ศ. 2555 โครงการอินเว้นท์ (InVent) จึงถือกำเนิดขึ้น โดยเป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อร่วมลงทุนกับกลุ่มนักธุรกิจที่ดำเนินงานแบบคิดนอกกรอบ และช่วยเพิ่มขีดการแข่งขันทางธุรกิจในประเทศไทยให้ก้าวไกลสู่เวทีโลก การลงทุนของอินเว้นท์เน้นลงทุนในธุรกิจที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในแง่มุมที่หลากหลายกันออกไป อาทิ ด้านคอมเมิร์ซ ด้านสุขภาพ ด้านบันเทิง หรือ ด้านไลฟ์สไตล์ที่มีการลงทุนกับบริษัทที่คุ้นเคยกันดีอย่างบริษัท อุ๊คบี จำกัด (OOKBEE) ซึ่งให้บริการด้านแอพพลิเคชั่นและแพลตฟอร์มสิ่งตีพิมพ์ดิจิตอล หรือ บริษัท วงใน มีเดีย จำกัด ผู้พัฒนาเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นรีวิวร้านอาหารและไลฟ์สไตล์ในชื่อ Wongnai และWongnai Beauty
การมุ่งตอบสนองพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคยุคใหม่ผ่านช่องทางธุรกิจที่หลากหลาย
จากสถิติการใช้งานอินเตอร์เน็ตของปี พ.ศ. 2558 แสดงให้เห็นว่า Gen Y (ช่วงอายุ 18-35 ปี) มีการใช้งานอินเตอร์เน็ตสูงถึง 54.2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์หรือเกือบ 8ชั่วโมงต่อหนึ่งวัน[2] อินทัชและบริษัทที่อินทัชเข้าลงทุนเล็งเห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจึงได้สร้างสรรค์การทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคผ่านการส่งมอบความสะดวกสบายและรวดเร็ว อาทิ บริการ mPay จากเอไอเอสที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมทางการเงินบนมือถือแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการโอนหรือถอนเงิน ซื้อสินค้า จ่ายบิล ผ่านช่องทางออนไลน์
"เราทำธุรกิจผ่านมุมมองของลูกค้าเป็นสำคัญ ธุรกิจที่เราทำจึงต้องสอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ และผสานการสื่อสารในทุกช่องทางเข้าด้วยกัน" นายฟิลิป กล่าว
เมื่อปี พ.ศ. 2558 อินทัชได้เริ่มธุรกิจโฮมช็อปปิ้งในประเทศไทยด้วยการร่วมลงทุนกับบริษัท ฮุนได โฮมช็อปปิ้ง เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น (ฮุนได โฮมช็อปปิ้ง) จากประเทศเกาหลีใต้ เพื่อสร้าง "บริษัท ไฮ ช็อปปิ้ง จำกัด" นำเสนอขายสินค้าและการถ่ายทำที่ทันสมัยผ่านการใช้ดิจิตอลคอนเทนต์ให้เกิดประโยชน์ โดยใช้สื่อจากหลายช่องทาง เช่น ทีวี โทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ต พร้อมผนึกการใช้โครงข่ายของกลุ่มอินทัชทุกด้านประกอบกันไม่ว่าจะเป็นด้านโทรคมนาคม ดาวเทียม อินเตอร์เน็ต บรอดแบนด์ความเร็วสูง
กิจกรรมเพื่อสังคม สำหรับรากฐานที่มั่นคงของประเทศไทย
อินทัชยังให้ความสำคัญกับการพัฒนา ส่งเสริมสังคมและชุมชน ด้วยการดำเนินกิจกรรมผ่านโครงการต่างๆ ภายใต้แนวคิด "คนไทยแข็งแรง ประเทศไทยแข็งแรง" เพราะเชื่อว่าการพัฒนาคน คือ การพัฒนารากฐานของประเทศให้เข้มแข็งในอนาคต ทั้งนี้ โครงการต่างๆ สามารถสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนและสังคมเป็นอย่างดี ด้วยการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมโดยมีเป้าหมายการพัฒนาใน 3 ด้าน คือ การพัฒนาศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชน การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน การส่งเสริมจิตสาธารณะของพนักงานในการช่วยเหลือสังคม และการสนับสนุนงานสาธารณกุศล
"โครงการปลูกข้าวเพื่อสุขภาพโดยอินทัช" ส่งเสริมการปลูกข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการและไม่ใช้สารเคมี มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของชาวนาตามหลักการพึ่งพาตนเอง อันจะนำไปสู่ความเข้มแข็งและเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของชุมชน "โครงการจินตนาการ สืบสาน วรรณกรรมไทยกับอินทัช" รณรงค์ให้เยาวชนไทยรักการอ่าน เชิดชู และสืบสานภาษาและวรรณกรรมไทย มรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของไทยให้คงอยู่ พร้อมใช้จินตนาการถ่ายทอดสิ่งที่อ่านออกมาเป็นภาพวาด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของบริษัทในการพัฒนาด้านความคิด สติปัญญาแก่เยาวชนไทยที่จะเติบโตมาเพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการนำพาประเทศให้เจริญก้าวหน้าต่อไป "โครงการกลุ่มอินทัชสร้างโอกาสทางการศึกษา" มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่มีความประพฤติดี ตั้งใจเรียน และขาดแคลนทุนทรัพย์ รวมทั้งทุนสนับสนุนครูผู้สอน และทุนสนับสนุนโรงเรียน นอกจากนี้ อินทัชยังร่วมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของนักเรียนด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดาร ได้แก่ โรงเรียนในเขตจังหวัดน่าน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี
อินทัชมีความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่สร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดแก่คนไทยมาตลอดระยะเวลา 33 ปีที่ผ่านมา และจะยังคงก้าวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในการเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ชั้นนำที่คนไทยให้ความไว้วางใจ ให้สมดังที่คุณฟิลิป เชียง ชอง แทน กล่าวไว้ว่า "ลูกค้าเลือกเรา เพราะเขาเห็นสิ่งที่ดีในตัวเรา ดังนั้นเราต้องคิดเสมอว่าความสำเร็จของอินทัช คือการพัฒนาประเทศไทย เพราะอินทัชคือธุรกิจของคนไทย เพื่อคนไทย อย่างแท้จริง"