กรุงเทพฯ--8 ส.ค.--บลจ.บัวหลวง
นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา Managing Director, Chief Investment Officer กองทุนบัวหลวง เปิดเผยว่า ในยุคดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ ย่อมทำให้อัตราผลตอบแทนในสินทรัพย์ต่างๆ ลดต่ำตามไปด้วย โดยเฉพาะสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำอย่างพันธบัตรรัฐบาล เงื่อนไขดังกล่าวผลักดันให้นักลงทุนต้องแสวงหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่พบได้ทั้งในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ แม้จะต้องรับความเสี่ยงมากขึ้นก็ตาม
"สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงหนีไม่พ้นตราสารทุนหรือหุ้นสามัญ แต่นักลงทุนบางคนที่ยังรับความเสี่ยงในตลาดหุ้นไม่ได้ จะวางแผนหรือจัดพอร์ตลงทุนในช่วงนี้อย่างไร คำตอบ คือ ไฮยิลด์บอนด์ ซึ่งจะมาเติมช่องว่างระหว่างกองทุนพันธบัตรหรือหุ้นกู้ระดับ Investment Grade กับตราสารทุนในตลาดหลักทรัพย์ กองทุนบัวหลวงตอบโจทย์ข้อนี้ด้วยกองทุนเปิดบัวหลวงไฮยิลด์ กองทุนต่างประเทศที่แสวงหาผลตอบแทนจากตลาดไฮยิลด์บอนด์ในสหรัฐฯ"
นายพีรพงศ์ กล่าวถึงความโดดเด่นของไฮยิลด์บอนด์สหรัฐฯ ว่า เป็นตราสารหนี้ที่ราคาแปรผันไปตามภาวะเศรษฐกิจและผลกำไรของบริษัท จนคล้ายกับหุ้น แต่ผันผวนน้อยกว่า ทั้งยังให้กระแสเงินสดคืนแก่นักลงทุนมากกว่าเงินปันผลหุ้นอีกด้วย และด้วยเหตุที่ไฮยิลด์บอนด์มีเรตติ้งต่ำกว่า Investment Grade (ต่ำกว่า BBB- ลงมา) ทำให้ผู้ออกตราสารต้องจ่ายผลตอบแทนสูงกว่าพวก Investment Grade เพื่อจูงใจนักลงทุน ที่สำคัญในเวลานี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัวอย่างเป็นลำดับ ทำให้โอกาสเกิดการผิดนัดชำระหนี้ (ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญสุด) ลดต่ำลง จึงสร้างโอกาสให้ได้รับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ
นั่นจึงเป็นที่มาของ "กองทุนเปิดบัวหลวงไฮยิลด์" (B-HY) กองทุนต่างประเทศที่ลงทุนในหน่วยลงทุนกองทุนหลักชื่อ AXA World Funds - US High Yield Bonds USD ซึ่งให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนเมื่อปี 2006 เนื่องจากกองทุนหลักมีทีมงานผู้จัดการกองทุนที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ภาพรวมทางเศรษฐกิจ และเชี่ยวชาญในการเลือกสรรตราสารหนี้เป็นรายบริษัท
"กองทุนเปิดบัวหลวงไฮยิลด์" (B-HY) เสนอขายแก่นักลงทุนรายใหญ่หรือนักลงทุนสถาบัน และผู้มีเงินลงทุนสูง รวม 2 กองทุน คือ 1) กองทุนเปิดบัวหลวงไฮยิลด์ (เฮดจ์ 75) ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของเงินลงทุนในต่างประเทศ และ 2) กองทุนเปิดบัวหลวงไฮยิลด์ (อันเฮดจ์) ไม่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดยทั้ง 2 กองทุน กำหนดให้นักลงทุนขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไม่เกินปีละ 4 ครั้ง โดยจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่าง 16-23 สิงหาคม 2559 มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก 510,000 บาท และครั้งถัดไป 10,000 บาท
-การลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนมิได้เป็นเครื่องยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต -การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น)
-ผู้ลงทุนต้องศึกษาและ ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุนก่อน ตัดสินใจลงทุน
-กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้ อยู่ในดุลพินิจ ของผู้จัดการกองทุน ดังนั้นผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุน เริ่มแรกได้ - กองทุนนี้เป็นกองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนที่มิใช่รายย่อยและผู้มีเงินลงทุนสูงเท่านั้น กองทุนสามารถลงทุนในตราสารแห่งหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่ลงทุนได้ (Non-investment Grade) คือลงทุนต่ำกว่า BBB- หรือที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Bond) ในอัตราส่วน ที่มากกว่าอัตราส่วนของกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร ซึ่งส่งผลให้ผู้ลงทุนขาดทุนจาก การลงทุนบางส่วนหรือทั้งจำนวนได้และในการขายคืนหน่วยลงทุนผู้ลงทุนอาจจะไม่ได้รับเงินคืนตามที่ระบุไว้ในโครงการ
ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่กองทุนบัวหลวงโทร. 02-674-6488 กด 8 หรือสาขาธนาคารกรุงเทพทั่วประเทศ หรือบัวหลวงโฟน 1333 หรือตัวแทนขายหน่วยลงทุน ทั้ง บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง และ บมจ.หลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน