กรุงเทพฯ--9 ส.ค.--อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์
โรคภูมิแพ้เกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ อาทิ ฝุ่น ควัน ละอองเกสรดอกไม้ ควันบุหรี่ ขนสัตว์ อาหารบางชนิด แล้วไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต่อต้านและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารนั้นมากผิดปกติ ทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น คันจมูก จาม น้ำมูกไหล และคัดจมูก ที่สร้างความรำคาญ ทำให้ไม่สะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน จนถึงมีอาการรุนแรง เช่น หอบหืด ซึ่งทำให้หายใจลำบาก และอาจอันตรายถึงชีวิตได้ เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น บริษัท แกล็กโซสมิทไคล์น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ GSK ผู้ค้นคว้าวิจัยพัฒนายาและวัคซีนระดับโลกจึงได้พัฒนาแอปพลิเคชันในชื่อ "Allergy Expert" สำหรับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์นำไปใช้ฟรี โดยแอปพลิเคชันนี้จะช่วยให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศสามารถเข้าถึงข้อมูลแนวทางเบื้องต้นในการวินิจฉัยโรคและการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ทางจมูกและผิวหนังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งแอปพลิเคชัน Allergy Expert เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วทั้งในระบบปฏิบัติการ Android และ iOS
ศ.พญ.จรุงจิตร์ งามไพบูลย์ นายกสมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย กล่าวว่า "สมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืดและวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย เห็นถึงคุณประโยชน์ของแอปพลิเคชัน Allergy Expert ที่จะเป็นช่องทางในการแลกเปลี่ยนความรู้และปรึกษาหารือในปัญหาต่าง ๆ และวิชาการอันเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ จึงอนุญาตให้นำแนวทางการรักษาโรคภูมิแพ้ของสมาคมมาเผยแพร่ในแอปพลิเคชัน "Allergy Expert" นี้ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ เภสัชกร และพยาบาล ได้เข้าถึงข้อมูลแนวทางเบื้องต้นในการวินิจฉัยโรค การดูแลรักษา รวมถึงเทคนิคและวิธีการใช้ยาแก่ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ทางจมูกและผิวหนังได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ดีขึ้นและทั่วถึงมากขึ้น เพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและจะสามารถบรรเทาความทุกข์ของผู้ป่วยได้เป็นจำนวนมาก เพราะโรคภูมิแพ้เป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่"
ศ.พญ.จรุงจิตร์ กล่าวถึงโรคภูมิแพ้และสถานการณ์ของโรคในประเทศไทยว่า "ประเทศไทยมีแนวโน้มของผู้ป่วยโรคภูมิแพ้สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยโรคภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยที่สุด คือ โรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคแพ้อากาศ ซึ่งในไทยมีผู้ป่วยประมาณร้อยละ 50 ของเด็กโต รองลงมา คือ ผื่นลมพิษจากการแพ้อาหาร แพ้ยา หรือการติดเชื้อ ประมาณร้อยละ 27 โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้หรือผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ประมาณร้อยละ 25 โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้หรือภูมิแพ้ออกตา ประมาณร้อยละ 21 โดยผู้ป่วยจะมีอาการตาแดง คันและเคืองตาเรื้อรัง แสบตา หรือน้ำตาไหลบ่อย ๆ โรคแพ้อาหาร มีประมาณร้อยละ 11 โรคหอบหืดหรือโรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ มีประมาณร้อยละ 7 และสุดท้าย แพ้ยา ประมาณร้อยละ 5 ซึ่งคนหนึ่งคนสามารถเป็นโรคภูมิแพ้ได้หนึ่งชนิดหรืออาจหลายชนิดร่วมกัน และถึงแม้ว่าโรคภูมิแพ้จะไม่ใช่โรคติดต่อและส่วนใหญ่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต แต่ก็ทำให้ผู้ป่วยเกิดความยากลำบากในการดำรงชีวิต หรืออาจเสียบุคลิกภาพและเกิดความอับอายจากอาการแพ้ เช่น การกระแอมไอ จาม มีน้ำมูกตลอดเวลา หรือการขยี้ตาและกรอกตาบ่อย ๆ จากอาการเคืองตา เป็นต้น การใส่ใจในการรักษาจึงเป็นสิ่งที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยดำรงชีวิตได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น"
รศ.นพ.พีรพันธ์ เจริญชาศรี นายกสมาคมแพทย์โรคจมูก (ไทย) กล่าวเสริมว่า "โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ดูเหมือนเป็นโรคไม่ร้ายแรง แต่ก็พบได้บ่อยและมีแนวโน้มผู้ป่วยมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อมูลของเด็กไทยซึ่งสำรวจโดยแบบสอบถาม International Study of Asthma and Allergies in Childhood, ISAAC questionnaires พบว่า ความชุกของโรคจมูกอักเสบในเด็กอายุ 6-7 ปี ในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 32.6 เป็นร้อยละ 43.2 และในเด็กอายุ13-14 ปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 43.4 เป็นร้อยละ 57.4 แม้โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ จะไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต แต่จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า โรคนี้มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยไม่น้อยกว่าโรคหืดที่มีความรุนแรงระดับปานกลาง-มาก เพราะอาการของโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการนอนหลับ การเรียน และการทำงานของผู้ป่วย ยิ่งกว่านั้นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ยังอาจทำให้เกิดโรคร่วมหรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น โรคหืด, ไซนัสอักเสบ, ริดสีดวงจมูก, หูชั้นกลางอักเสบ, ทางเดินหายใจส่วนล่างอักเสบ, การหายใจผิดปกติขณะหลับ และการสบฟันผิดปกติ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคนี้สูงมาก"
รศ.นพ.ทรงกลด เอี่ยมจตุรภัทร ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และคณะกรรมการ สมาคมแพทย์โรคจมูก (ไทย) กล่าวว่า "สมาคมแพทย์โรคจมูก (ไทย) มีความตั้งใจในการเผยแพร่แนวทางการตรวจและการรักษาโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ในคนไทยไปยังแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ให้ได้รับรู้มากที่สุด เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ดีขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยแม้การค้นหาข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันจะสามารถทำได้อย่างง่ายดายผ่านทางเว็บไซต์ต่าง ๆ แต่บางครั้งข้อมูลที่ได้มาก็อาจคลาดเคลื่อน ไม่ครบถ้วน หรือไม่ละเอียดพอตามความต้องการ การเกิดขึ้นของแอปพลิเคชัน Allergy Expert จึงเป็นช่องทางที่ดีมากในการเผยแพร่แนวทางการรักษาดังกล่าว เพราะช่วยแก้ปัญหาเรื่องความถูกต้องและความสมบูรณ์ของข้อมูลได้ ทั้งยังสามารถเปิดดูข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกและง่ายดายผ่านสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ยังหวังว่า แอปพลิเคชัน Allergy Expert จะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น และประสบการณ์ทางวิชาการด้านโรคภูมิแพ้ด้วยระหว่างแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ด้วย"
นายวิริยะ จงไพศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แกล็กโซสมิทไคล์น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ GSK กล่าวว่า "แอปพลิเคชัน Allergy Expert จะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในการรักษาผู้ป่วย โดยเนื้อหาประกอบด้วย ข้อมูลแนวทางการรักษาผู้ป่วย รวมทั้งบทความทางการแพทย์ วีดีโอทางการแพทย์ และข่าวทั่วไปเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ โดยจุดเด่นของแอปพลิเคชัน คือ ฟังก์ชั่นการประเมินคุณภาพอากาศ ที่จะวัดมลภาวะที่อยู่ในอากาศ ณ พื้นที่นั้นๆ แบบเรียลไทม์ โดยเชื่อมโยงข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ และฟังก์ชั่นการพยากรณ์อากาศ โดยเชื่อมโยงข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา จึงช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานได้อย่างรอบด้าน ทำให้การรักษาโรคภูมิแพ้ในเบื้องต้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย ทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น"
สำหรับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่สนใจ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Allergy Expert ได้ฟรีทั้งในระบบปฏิบัติการ Android และ iOS และถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ 02-659-3119