กรุงเทพฯ--11 ส.ค.--โรงพยาบาลเวชธานี
โรคยอดฮิตในปัจจุบันคงหนีไม่พ้น "โรคภูมิแพ้" โดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ในเด็ก ซึ่งสาเหตุเกิดได้จาก 2 ปัจจัยหลัก คือ 1. พันธุกรรม เมื่อมีคุณพ่อคุณแม่หรือพี่น้องที่เป็นภูมิแพ้โอกาสที่จะมีลูกที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้น และ 2. สิ่งแวดล้อมที่มากระตุ้น เช่น มลภาวะเป็นพิษ หรืออาหารต่าง ๆ มากระตุ้นเด็กที่มีความเสี่ยงเป็นภูมิแพ้ ทำให้มีอาการแสดงออกมาได้
สังเกตลูกน้อยอย่างไรว่าเป็นภูมิแพ้
ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง จะเป็นผื่นขึ้นตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ อาจจะมีผิวแห้ง มีผื่นแดงขึ้นบริเวณตามใบหน้า หรือตามข้อพับ และเป็น ๆ หาย ๆ รวมถึงมีอาการที่คันมากทำให้เด็กรู้สึกไม่สบายตัว
แพ้อาหาร
มีอาการทางผิวหนังคือ ผื่นลมพิษ , ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง อาการทางเดินอาหาร ถ่ายเป็นมูกเลือด , ถ่ายเหลวเรื้อรัง อาการระบบทางเดินหายใจ หายใจครืดคราด , หอบหืดภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ภูมิแพ้จมูกหรือบางคนเรียกว่า ภูมิแพ้อากาศ มีอาการคัดจมูก คันจมูก คันตา น้ำมูกไหล จามบ่อย ๆ มักเป็นเรื้อรังเป็นเดือน หรือมีอาการตามช่วงเวลา เช่น ตอนเช้าหรือก่อนนอน หอบหืด มีอาการไอกลางคืน หายใจมีเสียงวี๊ด โดยเฉพาะเวลาอากาศเปลี่ยน ภูมิแพ้ในเด็กที่พบบ่อย แบ่งตามช่วงอายุ
วัยทารก : ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง และแพ้อาหาร โดยอาหารที่ทำให้เกิดการแพ้ได้บ่อย คือ นมวัว , ไข่ , ถั่วเหลือง , แป้งสาลี , อาหารทะเล , ถั่วลิสง
วัยเด็กเล็ก : หอบหืด , ภูมิแพ้จมูก , ตามลำดับ วัยเด็กโต : ภูมิแพ้จมูก , หอบหืด ,ตามลำดับ
วิธีการป้องกัน สามารถทำให้ได้ตั้งแต่ลูกน้อยอยู่ในครรภ์ เน้นให้คุณแม่รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป อย่างไรก็ตาม เมื่อคลอดลูกแล้ว ควรเน้นให้นมแม่ก่อนอย่างน้อยประมาณ 6 เดือน และให้อาหารตามวัยอายุ 4 – 6 เดือน เวลาเริ่มอาหารก็เริ่มอาหารที่มีความเสี่ยงน้อย ๆ ก่อน เช่น ข้าว ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์พวกไก่ เนื้อหมู เนื้อปลา และค่อย ๆ เพิ่มอาหารทีละอย่างทุก 3 – 4 วัน และสังเกตอาการถ้าพบมีอาการผิดปกติที่สงสัยว่า จะเป็นโรคภูมิแพ้ควรรีบปรึกษาแพทย์