กรุงเทพฯ--15 ส.ค.--ทีวี ไดเร็ค
TVD ปลื้ม!! ไตรมาส 2/59 มีกำไรสุทธิ 18.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.30% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 11.45 ล้านบาท หลังต้นทุนการขายและบริหารลดลง ส่วนยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับเป้ายอดขายทั้งปี 59 ขึ้นเป็น 3.68 พันล้านบาท จากเดิม 3.21 พันล้านบาท
นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ (TVD) เปิดเผยว่าในไตรมาส 2/2559 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 881.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 703.78 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 18.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 11.45 ล้านบาท
โดยในไตรมาสดังกล่าวนั้น บริษัทยังคงรักษาความเติบโตในเรื่องของยอดขาย และอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับที่ดีได้ และเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดและโอกาสในการดำเนินธุรกิจ บริษัทฯ ยังได้วางงบลงทุนสำหรับการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ รวมถึงงบโฆษณาที่จะใช้ในไตรมาส 3/2559 และไตรมาส 4/2559 ไว้เรียบร้อยแล้ว จึงเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนให้ภาพรวมของธุรกิจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต
"บริษัทได้ปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายทั้งปี 2559 ใหม่ เป็น 3,680 ล้านบาท จาก 3,210 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.64% หลังจากปรับนโยบายการลดต้นทุนสินค้า, บริหารสินค้าคงคลังการทำประมาณการยอดขาย และพัฒนาสินค้าที่ขายต่อเนื่องให้ดีขึ้น ที่สำคัญปรับปรุงทีมส่งของพร้อมกับเก็บเงินสดถึงบ้านรวดเร็วจัดส่งสินค้าให้ได้ภายในระยะเวลา 3-5 วัน ทั้งประเทศ จึงส่งผลทำให้การบริหารค่าใช้จ่ายทั้งกลุ่มบริษัทในเครือมีประสิทธิภาพ และยังเพิ่มปริมาณเงินสดได้กว่า 100 ล้านบาท รวมถึงช่องทางขายผ่านออนไลน์ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงที่ผ่านมา"นายทรงพล กล่าว
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้จ่ายปันผลระหว่างกาล งวดผลการดำเนินงานไตรมาส1/2559 รวมกับรายได้เงินปันผลรับจากบริษัทย่อย หลังจากล้างขาดทุนสะสมไปก่อนแล้ว ให้แก่ผู้ถือหุ้น เป็นเงินสดจ่ายในอัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนการลงทุนประมาณ 3.18% และการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลคิดเป็นร้อยละ 59.83% ของผลกำไรที่นำมาจัดสรร โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) คือวันที่ 4 ก.ค. 2559 และวันปิดสมุดทะเบียนเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผลคือวันที่ 5 ก.ค. 2559
การจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล เป็นเพราะผลกำไรของทั้งกลุ่มบริษัททำได้ตามเป้าหมาย รวมทั้งรายได้เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญและอัตรากำไรสุทธิดีขึ้น นอกจากนี้หากผลประกอบการของบริษัททั้งปีเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้คือทะลุ 3,680 ล้านบาท อย่างแน่นอน