กรุงเทพฯ--18 ส.ค.--กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 2 จังหวัด ได้แก่ ตาก และแพร่ ซึ่งปัจจุบันระดับน้ำลดลง แต่ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำการเกษตร โดยปัจจุบันมีจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) จำนวน 3 จังหวัด ได้แก่ น่าน แม่ฮ่องสอน และพะเยา รวม 12 อำเภอ 57 ตำบล 356 หมู่บ้าน ทั้งนี้ ปภ. ได้บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วนเร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมให้การช่วยเหลือประชาชนในเบื้องต้นอย่างเต็มกำลัง อย่างไรก็ตาม จากการติดตามสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีฝนตกเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง จึงได้ประสานจังหวัดจัดเจ้าหน้าที่และมิสเตอร์เตือนภัยติดตามสภาพอากาศ เฝ้าระวังสถานการณ์ภัย พร้อมแจ้งเตือนภัยแก่ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัย รวมถึงขอให้ประชาชนติดตามพยากรณ์อากาศและประกาศเตือนภัยอย่างใกล้ชิด พร้อมปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ ส่งผลให้เกิดน้ำไหลหลากใน 2 จังหวัด ได้แก่ ตาก และแพร่ โดย ตาก น้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่สอด และอำเภอพบพระ รวม 5 ตำบล 24 หมู่บ้าน ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แพร่ น้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอร้องกวาง และอำเภอสอง รวม 10 ตำบล 39 หมู่บ้าน บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 10 ครัวเรือน พื้นที่การเกษตรเสียหาย 3,121 ไร่ ปัจจุบันระดับน้ำลดลง แต่ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำการเกษตร ทั้งนี้ ปัจจุบันมีจังหวัดประกาศ เขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) จำนวน 3 จังหวัด ได้แก่ น่าน แม่ฮ่องสอน และพะเยา รวม 12 อำเภอ 57 ตำบล 356 หมู่บ้าน สถานการณ์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนคลี่คลายแล้ว โดย น่าน เกิดน้ำไหลหลากและดินถล่มในพื้นที่ 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอสันติสุข อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอเมืองน่าน อำเภอท่าวังผา อำเภอปัว อำเภอภูเพียง และอำเภอบ่อเกลือ รวม 31 ตำบล 198 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 4,109 ครัวเรือน ผู้เสียชีวิต 2 ราย ปัจจุบันระดับน้ำลดลง พะเยา น้ำในลำน้ำงิม ไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอปง อำเภอเชียงคำ อำเภอเชียงม่วน และอำเภอภูซาง รวม 20 ตำบล 128 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 3,405 ครัวเรือน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย เสียชีวิต 2 ราย ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย จึงได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วนเร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย แจกจ่ายถุงยังชีพ และเครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในเบื้องต้น รวมถึงระดมสรรพกำลัง วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลด้านสาธารณภัยปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มกำลัง และฟื้นฟูสาธารณูปโภคให้ใช้งานได้ตามปกติโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม จากการติดตามสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ทางตอนใต้ของเกาะฮ่องกง ซึ่งคาดว่าพายุจะเคลื่อนผ่าน เกาะไหหลำ ประเทศจีน และปกคลุมอ่าวตังเกี๋ยในวันที่ 18 สิงหาคม 2559 หลังจากนั้นจะเคลื่อนผ่านประเทศเวียดนามตอนบนและประเทศลาวตอนบน ส่งผลให้บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีฝนตกเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ เลย หนองบัวลำภู หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร และนครพนม ภาคเหนือ ได้แก่ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ ลำพูน ลำปาง อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ประสานจังหวัดจัดเจ้าหน้าที่และมิสเตอร์เตือนภัยติดตามสภาพอากาศ เฝ้าระวังสถานการณ์ภัย และแจ้งเตือนภัยประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยให้ระมัดระวังอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก จากปริมาณฝนที่ตกหนักและฝนตกสะสม รวมถึงจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว และวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนติดตามพยากรณ์อากาศและประกาศเตือนภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด พร้อมปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ท้ายนี้ ผู้ประสบภัยสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป
0-2243-0674 0-2243-2200 www.disaster.go.th