(ต่อ 3) บัวนา วิสต้า อินเตอร์เนชั่นแนล ภูมิใจเสนอภาพยนตร์เรื่อง THE PRINCESS DIARIES ( บันทึกรัก…เจ้าหญิงมือใหม่)

ข่าวทั่วไป Wednesday August 1, 2001 14:17 —ThaiPR.net

ข้อมูลทีมสร้าง
ผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับ และมือเขียนบทภาพยนตร์ โทรทัศน์ รวมถึงละครเวทีมืออาชีพ แกร์รี มาร์แชลล์-Garry Marshall (ผู้กำกับ) ล่าสุด เขาเพิ่งทำหน้าที่กำกับภาพยนตร์ชวนหัวยอดนิยม ที่มีนักแสดงคู่ขวัญจูเลีย รอเบิร์ตส์ควงคู่มากับริชาร์ด เกียร์ ใน Runaway Bride ซึ่งเป็นการกลับมารวมตัวอีกครั้งทั้งสอง หลังจาก Pretty Woman ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ นับเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้รวมสูงสุดประจำปี 1990 และเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ The Walt Disney Studios เลยทีเดียว มาร์แชลล์นั้นเคยกำกับไดแอน คีตัน และจูเลียต ลูวิส ใน The Other Sister กำกับมิเชลล์ ไฟเฟอร์ กับอัล ปาชิโน ใน Fransie & Johnny กำกับเบตต์ มิดเลอร์ กับบาร์บารา เฮอร์ชีย์ ใน Beaches, โกลดี ฮอว์น กับเคิร์ต รัสเซลล์ ใน Overboard, แจ็กกี กลีสัน และทอม แฮงก์ส ใน Nothing in Common, แมตต์ ดิลลอน ใน The Flamingo Kid, เดนา ดีลานีย์, แดน เอกบอร์นด์ และโรซี โอ ดอนเนลล์ ใน Exit to Eden และกำกับเกร็ก คินเนียร์ กับลอรี เมตคาล์ฟ ใน Dear God
มาร์แชลล์ยังเป็นผู้ริเริ่ม และอำนวยการสร้างบริหารให้กับซีรีส์เรื่องดังทางโทรทัศน์ ซึ่งออกอากาศยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์โทรทัศน์ของอเมริกา และชนะเลิศรางวัลอีกมากมาย อาทิ Happy Days, Laverne & Shirley, The Odd Couple และ Mork and Mindy มาร์แชลล์ทำหน้าที่พัฒนา และคิดค้นซีรีส์ทางโทรทัศน์ถึง 14 เรื่องด้วยกัน รวมทั้งอำนวยการสร้างบริหารให้กับซีรีส์ครึ่งชั่วโมงมากมาย รวมแล้วเกินกว่า 1,000 เรื่องเลยทีเดียว ทั้งซีรีส์ทางโทรทัศน์ของเขา รวมถึงนักแสดงในเรื่องต่างก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมีถึง 16 รางวัล และได้ไป 7 รางวัล นอกจากนี้ยังได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำอีก 9 สาขา พร้อมทั้งชนะเลิศ 4 สาขารางวัลด้วยกัน ก่อนหน้าที่จะก้าวเข้าสู่อาชีพนี้อย่างเต็มตัวนั้น มาร์แชลล์ และคู่หูมือเขียนบท แจร์รี เบลสันก็เคยได้รับรางวัลเอมมีมาแล้ว จาก The Dick Van Dyke Show
นอกเหนือจากจะสนุกสนานกับความสำเร็จในการทำงานที่ผ่านมาทั้งโปรเจกต์ด้านภาพยนตร์ และโทรทัศน์แล้ว มาร์แชลล์ยังเป็นผู้เปิดเส้นทางอาชีพสายนี้ให้แก่นักแสดงอย่าง รอบิน วิลเลียมส์, แพม ดอว์เบอร์, น้องสาวของเขา เพนนี มาร์แชลล์ ,เจสัน อเล็กแซนเดอร์, เฮนรี วิงก์เลอร์, เมยิม บิเอลิก และคริสตัล เบอร์นาร์ด ด้วย
ตัวมาร์แชลล์เองก็ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติมากมายหลายรางวัลด้วยกัน อาทิ ในปี 1990 เขาก็ได้รับรางวัล American Comedy Awards Lifetime Achievement Award ปี 1992 ได้จาก Publicists Guild Motion Pictures Showmanship Award และในปี 1979 จาก Guild's Television Showmanship Award ปี 1995 เขาได้รับรางวัล Valentine Davies Award จาก Writers Guild of America รางวัลอันทรงเกียรติจากการทุ่มเทให้กับอุตสาหกรรมบันเทิงของเขา ซึ่งช่วยนำเกียรติยศและศักดิ์ศรีมาสู่มือเขียนบททั่วโลกอีกด้วย เดือนพฤศจิกายน 1997 มาร์แชลล์ได้รับเกียรติให้มีชื่ออยู่ในหอเกียรติยศของ Academy of Television Arts and Sciences ด้วย และในเดือนมีนาคม 1998 เขาก็ได้รับรางวัลสาขา Producers Guild of America Lifetime Achievement Award (ทางโทรทัศน์) อีกหนึ่งรางวัลด้วย
มาร์แชลล์จบการศึกษาจาก Medill School of Jounalism ของ Northwestern University เขาเริ่มต้นเส้นทางอาชีพนี้ เมื่อปี 1961 ในฐานะนักเขียนบทเรื่อง The Tonight Show นำแสดงโดย แจ็ก พาร์ ตามมาด้วย The Lucky Show, The Dick Van Dyke Show, I Spy, Love America Style, Gomer Pyle, U.S.M.C. และ The Danny Thomas Show
นอกจากนี้ เขายังร่วมเขียนบทละครเวทีที่ไม่ใช่บรอดเวย์เรื่อง Wrong Turn at Lungfish ร่วมกับโลเวลล์ กานซ์ ซึ่งออกแสดงในปี 1992 ที่นิวยอร์ก และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก นำแสดงโดย จอร์จ ซี สกอตต์ กำกับโดยมาร์แชลล์เอง และเมื่อเร็วๆ นี้ บทละครเรื่องนี้ยังได้รับการตีพิมพ์จาก Samuel French Inc. ด้วย
มาร์แชลล์ร่วมแสดงในซีรีส์ที่ออกฉายมายาวนานทางโทรทัศน์ ด้วยบทของสแตน แลนซิง หัวหน้าจอมวุ่นของสถานีโทรทัศน์สมมตินี้ ใน Murphy Brown นอกจากนี้ เขายังเขียนอัตชีวประวัติของตัวเองร่วมกับลอรี ลูกสาวของเขา โดยใช้ชื่อเรื่องว่า Wake Me When It's Funny หนังสือเล่มนี้ เป็นการรวบรวมเรื่องราวชีวิต 35 ปีแรกในวงการฮอลลีวูดของเขา ซึ่งได้รับการตีพิมพ์โดย Adams Publishing ในปี 1995 และได้รับการพิมพ์ซ้ำอีกครั้งในรูปแบบเอกสาร โดย New Market Press
ปี 1997 มาร์แชลล์ก่อตั้ง Falcon Theatre ซึ่งตั้งอยู่ที่เบอร์แบงก์/โทลูกา เลค แคลิฟอร์เนีย Falcon Theatre นี้ เป็นสถานที่รวมด้านศิลปะ โดยเน้นด้านการแสดงสดในรูปแบบต่างๆ และมีละครเวทีแสดงตลอดทั้งปีด้วย
จีนา เวนด์คอส-Gina Wendkos (บทภาพยนตร์) เป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Coyoty Ugly ให้กับ Touchstone Pictures/Jerry Bruckheimer Films
เวนด์คอสจบการศึกษาปริญญาโทด้านไฟน์อาร์ต สาขาจิตรกรรม ทว่ากลับสร้างชื่อให้ตัวเองอย่างรวดเร็ว ในด้านศิลปะการแสดง เมื่อเธอมีผลงานละครเวทีขนาดใหญ่ (โดยใช้นักแสดงกว่า 200 คน) ซึ่งออกแสดงประจำตาม Public Art Funds หรือ The National Endowment for the Arts หลังจากนั้นไม่นาน โลกแห่งเวทีละครก็กลายเป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี และเวนด์คอสก็เริ่มใช้ภาษาเข้ามาเสริมงานด้านภาพอันโดดเด่นของเธออีกด้วย
เวนด์คอสเริ่มมีเขียนบทละครเวทีที่ไม่ใช่ละครร้องบรอดเวย์ ออกแสดงที่ La Mama Theatre และเธอก็เริ่มกำกับบทละครของตัวเอง ซึ่งนำพาเธอไปสู่ Odyssey Theatre ในลอสแองเจลิส เมืองที่มีชื่อเสียงด้านละครเวที
และจากประสบการณ์ตรงนี้เอง เวนด์คอสก็เริ่มต้นเขียนบทภาพยนตร์ และบทโทรทัศน์ โดยเริ่มต้นจากการเขียนบทบางตอนของซีรีส์ทางโทรทัศน์ เรื่อง Wiseguy นำแสดงโดยเคน วาห์ล
วิทนีย์ ฮุสตัน-Whitney Houston (ผู้อำนวยการสร้าง) เธอโด่งดังข้ามประเทศในฐานะนักร้องซูเปอร์สตาร์ นักแสดงภาพยนตร์ และโทรทัศน์ จนถึงวันนี้ บริษัทบันทึกแผ่นเสียงและวิดีโอ Arista ของเธอนั้น มียอดขายทั่วโลกเกินกว่า 140 ล้านแผ่น และ 75 ล้านเฉพาะในอเมริกา ช่วงทศวรรษที่ 1990 เธอร่วมแสดงในภาพยนตร์ 3 เรื่องด้วยกัน นั่นคือ The Bodyguard, Waiting to Exhale และ The Preacher's Wife ซึ่งทั้งสามเรื่องทำรายได้เป็นอย่างงามในบ็อกซ์ออฟฟิศ และประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการขายซาวนด์แทร็ก ฮุสตันเคยรับหน้าที่ทั้งแสดงนำ และอำนวยการสร้างบริหารให้กับ Rodgers and Hammerstein's Cinderella ซึ่งเป็นการร่วมมือกันของเอบีซี และ /Wonderful World of Disney ซึ่งได้รับคำชมเชยเป็นอย่างมาก จนทำให้เรตติ้งพุ่งสูง และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมีถึง 7 รางวัลด้วยกัน
จนถึงวันนี้ ฮุสตันได้รับรางวัลแกรมมีอวอร์ดไปแล้ว 6 รางวัล จาก American Music Awards อีก 21 รางวัล (สูงสุดสำหรับศิลปินหญิงเลยทีเดียว) จาก Billboard Music Awards 15 รางวัล จาก NAACP Image Awards 12 รางวัล รวมถึงจากเอมมีอวอร์ด 2 รางวัล และ Soul Train Awards อีก 6 รางวัล และอีกมากมายนับไม่ถ้วน วิทนีย์เคยได้รับการแนะนำให้เข้าสู่หอเกียรติยศของ Nickelodeon Kid's Hall of Fame, the Soul Train Hall of Fame และ BET (Black Entertainment Television) Walk of Fame ในเดือนมีนาคม ปี 2000 ทาง Soul Train Awards ได้ยกย่องให้เธอเป็น "ศิลปินแห่งทศวรรษ" เลยทีเดียว
กิจกรรมด้านการกุศลและการทำบุญของฮุสตันนั้น มีทั้ง The Whitney Houston Foundation for Children, Inc. ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส และเด็กจรจัด มะเร็ง และโรคเอดส์ นอกจากนี้ฮุสตันยังให้เงินสนับสนุน The United Negro College Fund, The Children's Diabetes Fund, St. Jude's Children Hospital และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์อีกจำนวนมาก
เดบรา มาร์ติน เชส-Debra Martin Chase (ผู้อำนวยการสร้าง) จากทนายความมาเป็นผู้อำนวยการสร้างที่ได้เข้าชิงทั้งรางวัลออสการ์ และเอมมีอวอร์ด ใช้เวลาอันทีค่าเพื่อมองหาวัสดุที่แข็งแรง และจับใจ ผลงานภาพยนตร์ของเธอจะต้องมีการสื่อถึงผู้ชมได้ทั่วโลก
เมื่อเร็วๆ นี้ เชสรับหน้าที่รองประธานฝ่ายบริหารให้กับ BrownHouse Productions ซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับนักร้อง/นักแสดงสาววิทนีย์ ฮุสตัน ซึ่งเป็นประธานบริษัทนี้ ผลงานสร้างเรื่องแรกของบริษัทได้แก่ ภาพยนตร์ชนะเลิศรางวัลเอมมี เรื่อง Rodgers & Hammerstein's Cinderella ซึ่งมีแบรนดี นอร์วูด, ฮุสตัน และวูปี โกลด์เบิร์ก แสดงนำ ออกฉายทางช่อง ABC และตรึงผู้ชมไว้หน้าจอได้ถึงกว่า 60 ล้านคน Cinderella นั้นได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมีถึง 7 รางวัลด้วยกัน รวมถึง Outstanding Variety, Musical or Comedy Special ด้วย และจากนั้น เวอร์ชันโฮมวิดีโอ ก็ติดอันดับเป็นวิดีโอที่ขายดีที่สุดที่เคยผลิตจากภาพยนตร์โทรทัศน์เลยทีเดียว
เคยทำงานที่ BrownHouse มาก่อนหน้านี้ โดยรับตำแหน่งรองประธานอาวุโสของบริษัทผลิตภาพยนตร์ Mundy Lane Entertainment ของนักแสดงหนุ่ม เดนเซล วอชิงตัน ในช่วงที่เธอทำงานให้กับบริษัทนี้นั้น เชสรับหน้าที่ดูแลโปรเจกต์ต่างๆ เช่น Devil in a Blue Dress ของ Tristar และอำนวยการสร้างบริหารให้กับ Hank Aaron: Chasing the Dream ของ TBS ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ด เอมมีอวอร์ด และได้รับรางวัล Peabody Award ด้วย นอกจากนี้ เธอยังทำหน้าที่อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Courage Under Fire ให้กับ Fox 2000 นำแสดงโดยวอชิงตัน และเม็ก ไรอัน และร่วมอำนวยการสร้างให้กับ The Preacher's Wife ของ Walt Disney Pictures ซึ่งมีวอชิงตัน และวิทนีย์ ฮุสตันแสดงนำ
เชสเริ่มต้นอาชีพในวงการบันเทิงด้วยการเป็นทนายให้กับ Columbia Pictures และเพียงไม่นานหลังจากนั้น ประธานแฟรงก์ ไพรซ์ ก็จ้างเชสเป็นผู้ช่วยผู้บริหาร และก็ไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์อย่างรวดเร็ว ก่อนหน้าที่จะทำงานกับ Columbia Pictures นั้น เชสทำงานในบริษัทกฎหมายมาหล่ายแห่ง รวมถึงบริษัท Fortune 500 ในฮุสตัน และแมนฮัตตันด้วย
เชสมีความสนใจด้านการเมืองและอักษรศาสตร์มานานแล้ว เธอเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง Contemporary Friends of the Studio Museum in Harlem และเข้ารับตำแหน่งใน Community Resource Advisory Committee ให้กับ Los Angeles County Museum of Art ด้วย นอกจากนี้ เชสยังรับตำแหน่งเป็นคณะกรรมการฝ่ายคัดเลือกของ Commission on White House Fellowships และเป็นบอร์ดของ directors of Manhattan-based Film Forum ด้วย เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งรับตำแหน่งบอร์ดให้คำปรึกษาของ Archer School for Girls ในลอสแองเจลิสด้วย
เชสได้รับ J.D. จาก Archer School for Girls และจบการศึกษาจาก Kappa, Magna Cum Laude จาก Mount Holyoke College
มาริโอ อิสโควิช-Mario Iscovich (ผู้อำนวยการสร้าง) ล่าสุดร่วมอำนวยการสร้างในภาพยนตร์ตลกยอดนิยมของแกร์รี มาร์แชลล์ เรื่อง Runaway Bride ที่มีจูเลีย รอเบิร์ตส์ และริชาร์ด เกียร์แสดงนำ เขาร่วมงานกับมาร์แชลล์มาเป็นเวลานาน ซึ่งผลงานที่ผ่านมาซึ่งเขารับหน้าที่อำนวยการสร้าง มีอาทิ The Other Sister นำแสดงโดยไดแอน คีตัน และจูเลียต ลูวิส อำนวยการสร้างบริหารให้กับ Dear God นำแสดงโดยเกร็ก คินเนียร์ และลอรี เมตคาล์ฟ นอกจากนี้ เขายังเคยเป็นผู้บริหารงานสร้างของ Touchstone Pictures ซึ่งทำหน้าที่นี้ในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีที่ฮิตสุดๆ อย่าง Pretty Woman ของมาร์แชลล์อีกด้วย
อิสโควิชเคยอำนวยการสร้างภาพยนตร์ตลกติดอันดับบ็อกซ์ออกฟฟิศอย่าง Sister Act ของวูปี โกลด์เบิร์ก และยังอำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง อาทิ Mulholland Falls, What's Love Got To Do With It ภาพยนตร์ที่ได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ด และภาคต่อของภาพยนตร์ตลกเรื่อง Sister Act 2: Back in the Habit และในฐานะผู้บริหารงานสร้างของ The Walt Disney Studios อิสโควิชก็ได้ควบคุมดูแลภาพยนตร์ตลกผจญภัยเรื่อง The Rocketeer ด้วย
เกิดในอาร์เจนตินา อิสโควิชเริ่มต้นก้าวแรกบนเส้นทางสายบันเทิงนี้ ด้วยการเป็นผู้ช่วยของสตีฟ แม็กควีน นักแสดงชื่อดังที่เขาร่วมงานด้วยในภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมถึง 2 เรื่องด้วยกัน คือ The Reivers และ Le Mans จากนั้น เขาก็ได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังอย่าง สแตลีย์ เครเมอร์ มาเป็นเวลาถึง 6 ปี ในฐานะผู้ร่วมอำนวยการสร้าง และผู้อำนวยการสร้างร่วมในโปรเจกต์หลายชิ้นด้วยกัน
คาร์ล วอลเตอร์ ลินเดนโลบ-Karl Walter Lindenlaub, A.S.C. (ผู้กำกับภาพ) ล่าสุด เขาเพิ่งถ่ายทำ City by the Sea ของผู้กำกับไมเคิล เคตัน-โจนส์ โดยมีรอเบิร์ต เดอ นีโร แสดงนำ และ One Night at McCool's ที่มีไมเคิล ดักลาส อำนวยการสร้าง โดยฝีมือกำกับของเฮราลด์ ซวาร์ต นอกจากนี้ ลินเดนโลบยังเป็นร่วมงานกับผู้กำกับยาน เดอ บงต์ ใน The Haunting ด้วย
ผลงานการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาของลินเดนโลบ มีอาทิ Red Corner นำแสดงโดย ริชาร์ด เกียร์ และ The Jackal โดยมีบรู๊ซ วิลลิส, ริชาร์ด เกียร์ และซิดนีย์ ปอยเตียร์ นำแสดง นอกจากนี้ เขายังเคยร่วมงานกับผู้กำกับไมเคิล เคตัน-โจนส์ มาแล้ว ในภาพยนตร์มหากาพย์เรื่อง Rob Roy ซึ่งนำแสดงโดยเลียม นีสัน, เจสสิกา แลงจ์ และทิม รอธ ลินเดนโลบเคยมีผลงานอย่างภาพยนตร์โรแมนติกดรามาเช่นกัน ด้วยเรื่อง Up Close & Personal ที่มีรอเบิร์ต เรดฟอร์ด และมิเชลล์ ไฟเฟอร์แสดงนำ และเขาก็กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับโรแลนด์ เอ็มเมอริชอีกครั้ง ในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่องเยี่ยมปี 1996 Independence Day โดยที่ทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาก่อนหน้านี้แล้วใน Stargate, Universal Soldier และ Moon 44 ซึ่งส่งให้ลินเดนโลบได้รับรางวัล German Film Award สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยมด้วย
เขาเป็นชาวฮัมบูร์ก ลินเดนโลบจบการศึกษาจาก Munich Film and Television School ในเยอรมัน หลังจากนั้น เขาก็เข้าศึกษาต่อใน National Film and Television School ในกรุงลอนดอน เมื่อสำเร็จแล้ว เขาก็เดินทางกลับมาเยอรมันอีกครั้ง และเริ่มต้นทำภาพยนตร์เรื่องยาวเรื่องแรก Tango in the Belly ต่อด้วย Ghost Chase, The Year of the Turtle ของอูเต วีลันด์ และ Eye of the Storm ภาพยนตร์เรื่องแรกในสหรัฐอเมริกา
เมย์น เบิร์ก-Mayne Berke (ออกแบบงานสร้าง) ล่าสุดเขาเพิ่งร่วมงานกับ Warner Bros. ในภาพยนตร์ที่กำลังจะออกฉาย Rock Star นำแสดงโดย มาร์ก วอห์ลเบิร์ก และเจนนิเฟอร์ อนิสตัน โดยฝีมือกำกับของสตีเฟน เฮร็ค ผลงานออกแบบงานสร้างที่ผ่านมาของเขามีมากมาย อาทิ 15 Minutes ที่มีรอเบิร์ต เดอ นีโรแสดงนำ และกำกับโดยจอห์น เฮิร์ซเฟลด์, Jack Frost นำแสดงโดยไมเคิล คีตัน, Romy and Michele's High School Reunion และภาพยนตร์ดั้งเดิมของ HBO ที่กวาดรางวัลยอดเยี่ยมมาแล้วหลายรางวัลด้วยกัน Don King: Only in America นอกจากนี้ เบิร์กยังได้ร่วมงานในภาพยนตร์โฆษณาชุด Elevator Fantasy ของลีวายส์ ซี่งชนะเลิศรางวัล Clio Award จากฝีมือกำกับของไมเคิล เบย์ ด้วย
ผลงานในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ที่ผ่านมาของเบิร์ก มีอาทิ The Fan, From Dusk 'Til Dawn, Grace of My Heart, Four Rooms, Don't Tell Mom The Babysitter's Dead และ Teenage Mutant Ninja Turtles ทั้งภาค II และ III
เบิร์กได้รับปริญญาโทสาขาไฟน์อาร์ต ด้านการกำกับศิลป์ และการออกแบบการละคร จาก Tisch School of the Arts ของ New York University เขาได้ศึกษากับนักออกแบบการละครหลายคนด้วยกัน รวมถึง โอลิเวอร์ สมิธ เจ้าของรางวัลโทนีอวอร์ดหลายครั้ง ผู้เคยฝากฝีมือวาดภาพไว้ใน My Fair Lady และ West Side Story และภาพวาดเหล่านั้นได้รับการออกแสดงเป็นส่วนหนึ่งของ New York Museum of Modern Art ด้วย นอกจากนี้ เบิร์กยังได้เรียนกับผู้ออกแบบฉากและจัดแสงเงาชื่อดังอย่าง เธรอน มุซเซอร์, จอห์น กลีสัน, จอห์น คอนกลิน, ฟรังโก คาลาเวกเกีย และบิล มินต์เซอร์ เช่นกัน
เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับจอห์น เฮิร์ซเฟลด์อีกครั้ง ในตอนทดลองของ Untitled ของ CBS
บรู๊ซ กรีน-Bruce Green, A.C.E. (ลำดับภาพ) เขาเคยร่วมงานกันผู้กำกับแกร์รี มาร์แชลล์มาแล้ว ใน Runaway Bride ที่มีจูเลีย รอเบิร์ตส์ และริชาร์ด เกียร์ แสดงนำ รวมถึง The Other Sister นำแสดงโดยไดแอน คีตัน และจูเลียต ลูวิส ส่วนผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา เช่น ภาพยนตร์ชวนหัวเรื่อง Big Momma's House ที่มีมาร์ติน ลอว์เรนซ์ แสดงนำ ภาคต่อของหนังตลกครอบครัวอย่าง Home Alone 3, Phenomenon, While You Were Sleeping, Cool Runnings, Angels in the Outfield, Two if By Sea, The Vanishing, Young Guns II, Three Fugitives, Welcome Home, Roxy Carmichael, Punchline และ Square Dance
เกิดและโตในกรุงนิวยอร์ก กรียเคยเข้าเรียนใน Bard College และจบการศึกษาจาก California Institute of the Arts ซึ่งเขาศึกษาทางด้านจิตรกรรม และภาพยนตร์ ขณะกำลังไปได้สวยกับการทำสารคดี และภาพยนตร์แอนิเมชัน เขาก็เริ่มรับงานอิสระในบริษัททำสเปเชียลเอฟเฟกต์ ในตำแหน่งผู้ช่วยถ่ายภาพ และก็นำพาเขาเข้าสู่ห้องตัดต่อในเวลาต่อมา จนทำให้เขาหลงรักกระบวนการลำดับภาพอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
กรีนรับตำแหน่งผู้ช่วยลำดับภาพในภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ซึ่งทำให้เขาได้ใช้ความรู้ด้านสเปเชียลเอฟเฟกต์ที่เคยเรียนรู้มา จากนั้น เขาก็เดินทางไปลอนดอน แล้วมุ่งไปทางด้านการทำสารคดี และกลับมายังนิวยอร์กอีกครั้ง จนกระทั่งได้พบกับไมเคิล คาห์น มือตัดต่อของสตีเวน สปีลเบิร์ก ซึ่งได้กลายเป็นที่ปรึกษาของกรีน ในเวลาต่อมา กรีนทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของคาห์นใน Raiders of the Lost Ark, Indiana Jones and the Temple of Doom, Poltergeist และ Table for Five
แกรี โจนส์-Gary Jones (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) ล่าสุด เขาเพิ่งรับหน้าที่ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์เรื่อง Heartbreakers และตอนนี้ เขาก็รับหน้าที่เดียวกันนี้ใน Divine Secrets of the Ya-Ya Sisterhood ของผู้กำกับคอลลี คูริ ผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านมาของเขา ได้แก่ The First Deadly Sin, The Trip to Bountiful, The Mosquito Coast, Guilty As Sin, Vanya on 42nd Street, Desperate Measures และ The Other Sister โจนส์และแอนน์ รอธ ร่วมงานกันมายาวนาน และเข้าขากันได้ดี จนปี 1999 ทั้งคู่ก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดร่วมกัน จากภาพยนตร์เรื่อง The Talented Mr. Ripley ส่วนผลงานภาพยนตร์อื่นๆ ที่ทั้งคู่ร่วมงานกัน ก็มี Dressed to Kill, The Mambo Kings, Consenting Adults, Just Cause, Sabrina, Primary Colors และ The English Patient
จอห์น เด็บนีย์-John Debney (ดนตรี) เจ้าของรางวัลเอมมีอวอร์ด สาขาประพันธ์เพลงยอดเยี่ยม ผู้มีผลงานการประพันธ์เพลงให้กับภาพยนตร์มาแล้วหลายเรื่องด้วยกัน เขาเป็นผู้ประพันธ์ที่มีฝีมือเยี่ยมอย่างหาตัวจับได้ยากคนหนึ่งของฮอลลีวูด เขาเคยเขียนเพลงให้กับทั้งภาพยนตร์และโทรทัศน์มาแล้วหลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านมาของเขา ก็ได้แก่ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องล่าสุดของ Walt Disney Pictures เรื่อง The Emperor's New Groove รวมถึงผลงานอื่นๆ อาทิ Spy Kids, Heartbreakers, See Spot Run, I Know What You Did Last Summer, Liar, Liar, End of Days, Inspector Gadget, Paulie, Relic, My Favorite Martian, Dick, Relative Values, Sudden Death, Cutthroat Island, Hocus Pocus และภาพยนตร์ไอแมกซ์เรื่อง Michael Jordan to the Max ล่าสุดเขาเพิ่งทำสกอร์ให้กับภาพยนตร์ตลกครอบครัวของ Warner Bros เรื่อง Cats & Dogs
เด็บนีย์ได้จัดสอนหลักสูตรเร่งรัดเกี่ยวกับดนตรีคลาสสิค โดยใช้ความรู้ความสามารถด้านด้านดนตรีร่วมสมัย เพื่อขยายขอบเขตดนตรีสไตล์นี้ให้กว้างขวางขึ้นด้วย
ดอว์น โซเลอร์-Dawn Soler (ผู้ควบคุมดนตรี) ทำงานควบคุมดนตรีนี้มากว่า 14 ปีแล้ว เธอเริ่มต้นอาชีพด้านนี้ที่ Inaudible Productions โดยทำงานร่วมกับมืออาชีพอย่างปีเตอร์ อาฟเตอร์แมน และหลังจากเปิดบริษัทของตนเอง ชื่อ Working Music แล้ว เธอก็ดำเนินการสร้างซาวดน์แทร็กยอดนิยมให้กับภาพยนตร์ของ New Line Cinema เรื่อง Now and Then, Dumb and Dumber และ Don Juan DeMarco ซึ่งส่งให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทั้งรางวัลอคาเดมีอวอร์ด และแกรมมี อวอร์ด ด้วย
ดอว์นเข้าทำงานกับ PolyGram Filmed Entertainment ในปี 1995 เพื่อก่อตั้งและเป็นหัวหน้าแผนกดนตรีให้กับบริษัทภาพยนตร์ที่กำลังเติบโตนี้ หนึ่งในงานชิ้นแรกๆ ของเธอก็คือ การช่วยทิม รอบบินส์รวบรวมกลุ่มศิลปินดาวเด่นทั้งหลาย (ทั้งบรู๊ซ สปริงทีน, เอ็ดดี เว็ดเดอร์ และจอห์นนี แคช) เพื่อเขียน และบันทึกเสียงให้กับ Dead Man Walking ตามมาด้วยการดูแลควบคุมเรื่องดนตรีให้กับภาพยนตร์อย่าง Home for the Holidays, What Dreams May Come และ Hi Lo Country เป็นต้น ในฐานะผู้บริหารด้านงานเพลง เธอเป็นผู้แนะนำด้านงานเพลงให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Game, Gridlock'd, Mr. Bean, Elizabeth, Notting Hill และภาพยนตร์อีกหลายเรื่องของ PolyGram
หลังจากเกิดปัญหาขึ้นภายใน Polygram ดอว์นก็กลับไปสู่รากเดิมของเธอ คือการควบคุมดูแลดนตรีอิสระ ล่าสุดนี้ เธอทำงานให้กับภาพยนตร์หลายเรื่องด้วยกัน อาทิ Monkey Bone, Bedazzled, Mad About Mambo, Waking the Dead, Play It to the Bone, Being John Malkovich, Jungle Book II และ Big Trouble
เอลเลน เอช ชวาร์ตซ-Ellen H. Schwartz (อำนวยการสร้างร่วม) ล่าสุด เธอรับหน้าที่เดียวกันนี้ ในภาพยนตร์ยอดฮิตของแกร์รี มาร์แชลล์ เรื่อง Runaway Bride และเธอเคยทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้กำกับที่หนึ่งให้กับภาพยนตร์เรื่อง Miss Congeniality ซึ่งมีแซนดรา บุลล็อก แสดงนำ รวมถึง One Night at McCool's ที่มีไมเคิล ดักลาส, แมตต์ ดิลลอน และลิฟ ไทเลอร์ แสดงนำ ชวาร์ตซยังรับหน้าที่อำนวยการสร้างร่วม และผู้ช่วยผู้กำกับที่หนึ่ง ใน The Other Sister ของมาร์แชลล์ ซึ่งนำแสดงโดยไดแอน คีตัน และจูเลียต ลูวิส และ Dear God ของมาร์แชลล์อีกเช่นกัน เธอร่วมงานกับแกร์รี มาร์แชลล์มาเป็นเวลานาน และรับหน้าที่ผู้ช่วยผู้กำกับที่หนึ่งให้กับผลงานของมาร์แชลล์อีกหลายเรื่อง ได้แก่ Exit to Eden, Frankie and Johnny และ Pretty Woman
ผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านมาของชวาร์ตซ มีอาทิ Marvin's Room, Mulholland Falls, Showgirls, Losing Isaiah, Hocus Pocus, True Identity และ Krippendorf's Tribe ส่วนผลงานโทรทัศน์ของเธอ ได้แก่ภายนตร์เพลงเรื่อง Gypsy ซึ่งนำแสดงโดยเบตต์ มิดเลอร์ รวมถึง Queen, Barbarians at the Gate, O Pioneers! Sarah, Plain and Tall, Gideon Oliver และตอนหนึ่งของซีรีส์เรื่อง The Equalizer-- จบ--
-สส-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ