กรุงเทพฯ--22 ส.ค.--สนพ.
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ร่วมกับ สถาบันยานยนต์ไฟฟ้าไทย เปิดรับฟังความคิดเห็น จากหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ในการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า 100 สถานี
นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และโฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังการเป็นประธานเปิดงานสัมมนารับฟังความคิดเห็นโครงการสนับสนุนการลงทุนสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) ว่า สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) โดยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ร่วมกับสถาบันยานยนต์ไฟฟ้าไทย (สยฟท.) ได้ดำเนินโครงการสนับสนุนการลงทุนสถานีอัดประจุไฟฟ้า ให้กับหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน จำนวน 100 สถานี ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต และเพิ่มความเชื่อมั่นต่อการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศรวมถึงยังเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนทั่วไปหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ด้วย
สำหรับแนวทางการดำเนินงาน จะมีการส่งเสริมให้หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ เพื่อรองรับผู้ใช้บริการใน 3 ส่วน ได้แก่ 1. ส่วนราชการ จำนวน 20 สถานี ไม่เกิน 1,900,000 ต่อสถานี 2. หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ จำนวน 20 สถานี ไม่เกิน 1,000,000 บาทต่อสถานี และ 3. หน่วยงานเอกชน รอบที่ 1 จำนวน 20 สถานี ไม่เกินร้อยละ 70 หรือไม่เกิน 700,000 บาทต่อสถานี รอบที่ 2 จำนวน 20 สถานี ไม่เกินร้อยละ 50 หรือไม่เกิน 500,000 บาทต่อสถานี รอบที่ 3 จำนวน 20 สถานี ไม่เกินร้อยละ 30 หรือไม่เกิน 300,000 บาทต่อสถานี
"การสนับสนุนเงินลงทุนค่าสถานีฯ จำนวน 100 แห่งนี้ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดย สถาบันยานยนต์ไฟฟ้าไทย ได้เปิดโอกาสให้ผู้สนใจติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า ทั้งหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน มีสิทธิ์ยื่นขอรับเงินทุนสนับสนุน ดังนั้นการสัมมนาในวันนี้ จึงเป็นการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน อาทิ แนวทางและหลักเกณฑ์การสนับสนุน หลักเกณฑ์ในการพิจารณา การสมัครเข้าร่วมโครงการฯ เป็นต้น โดยผู้ดำเนินโครงการจะได้นำข้อมูลที่ได้รับจากการสัมมนาครั้งนี้ไปปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาการสนับสนุนการลงทุนสถานีอัดประจุไฟฟ้า ให้มีความชัดเจน รัดกุมและได้ประสิทธิภาพสูงสุด ก่อนเปิดรับผู้ที่สนใจขอรับการสนันสนุนเงินลงทุนในต้นเดือนกันยายนนี้ และสำหรับท่านที่ต้องการรายละเอียดสามารถ Download เอกสาร พร้อมแสดงความคิดเห็นได้ถึงวันที่ 25 สิงหาคมนี้ และการเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการในรอบที่ 1 จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1-20 กันยายน 2559 นี้" นายทวารัฐ กล่าว