กรุงเทพฯ--14 ก.ค.--สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ประเทศไทยไช้น้ำมันในภาคการขนส่งสูงมากโดยเฉลี่ยในระหว่าง พ.ศ. 2535 - 2539 ถึงร้อยละ 57.4 - 59.5 ต่อปี เมื่อเทียบกับปริมาณการใช้น้ำมันสำเร็จรูปทั่วประเทศ ดังนั้นหาก เรารู้จักวิธีประหยัดพลังงานในการเดินทางแล้ว จะสามารถช่วยลดปริมาณการนำเข้า น้ำมันดิน และน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศ ได้เนื่องจากการ เดินทาง ในชีวิต ประจำวันของเราต้อง ใข้น้ำมันสำเร็จรูปเป็นเชื้อเพลิงหลัก ซึ่งได้แก่ น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล หรือ น้ำมันเครื่องบิน เป็นต้น
แม้ว่าปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ได้มีการพัฒนาก้าวหน้าไปมากทำให้เครื่องยนต์ ลดการใช้เชื้อเพลิงมากขึ้น แต่ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยหลายวิธีและเทคนิคต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ ประหยัดพลังงานในการเดินทางได้มากกว่าเดิม เราจะมีวิธีการประหยัดพลังงานในการเดินทางได้อย่างไร ใกล้ ๆ .....ไม่ไกลจนเกินไป.....ควรเดินไป.....ไม่ใช้รถ..... หรือจะใช้ รถจักรยานแทนก็ได้ เป็นการออกกำลังกายไปในตัว ควรวางแผนเส้นทางก่อนเดินทางเพื่อเลือกทางที่ใกล้ที่สุด หรือใช้เวลาน้อย ที่สุด ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานหรือลดความสิ้นเปลืองของน้ำมันเชื้อเพลิง ต่อวันลงได้ รวมทั้งลดเวลาในการเดินทาง หากที่พักของเราใกล้กับที่ทำงานในระยะทางที่สามารถใช้รถโดยสารประจำทาง ได้สะดวกก็ควรหันมาใช้รถประจำทางให้มากขึ้น ถ้าเดินทางจากที่พักถึงที่ทำงานเป็นระยะทางไกล ๆ ทุกวันควรจะรู้เส้นทางลัด หรือเส้นทางที่มีสัญญาณไฟจราจรหรือมีทางแยกน้อยที่สุด หลีกเลี่ยงเวลาเดินทางไป - กลับระหว่างที่พักกับที่ทำงานในช่วงเวลาที่มีการ จราจรติดขัด เมื่อต้องเดินทางระยะไกล เช่น ไปต่างจังหวัด หากไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ ส่วนบุคคลแล้วควรหันมาใช้รถโดยสารประจำทาง หรือรถไฟ หมั่นตรวจสอบสภาพรถตลอดเวลาและก่อนการเดินทางไกล การตรวจสอบเครื่องยนต์หรือสภาพรถก่อนการเดินทาง
ควรตรวจสอบเครื่องยนต์สม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนด เพราะจะทำให้เรารู้สมรรถนะของเครื่องยนต์และอัตราการสิ้นเปลือง น้ำมันเชื้อเพลิงตลอเวลา และเพิ่มความปลอดภัย ซึ่งระบบที่ควรตรวจสอบมีดังนี้
ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงจากระบบน้ำมันเชื้อเพลิง เราสามารถสังเกตและตรวจสอบสาเหตุของการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ที่เพิ่มขึ้นกว่าปกติอย่างง่าย ๆ ดังนี้
น้ำมันรั่วหรือไม่ ให้สังเกตจากบริเวณพื้นถนนใต้รถที่จอดอยู่ หากพบว่ามีรอยเปียกของน้ำมันหรือได้กลิ่นน้ำมัน ซึ่งอาจจะรั่วจากข้อต่อในระบบท่อ ให้ดำเนินการซ่อมโดยเร็ว
ไส้กรองอากาศตันหรือไม่ ควรทำความสะอาดไส้กรองอากาศอย่างสม่ำเสมอหรือเปลี่ยนใหม่เมื่อหมดอายุการใช้งาน ไส้กรองอากาศที่สกปรกทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมาก
ตรวจความเร็วรอบเดินเบาถ้าความเร็วรอบของเครื่องยนต์ในจังหวะเดินเบาสูงเกินไปจะทำให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากขึ้น ควรปรับความเร็วรอบ ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของผู้ผลิต แต่ถ้าไม่มีข้อมูลดังกล่าวควรปรับความเร็วรอบที่ประมาณ 800 รอบต่อนาที หรือใน ระดับที่เครื่องยนต์ทำงานเรียบที่สุด สำหรับเครื่องยนต์ที่มีระบบการจ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด หากมีปัญหาเกี่ยวกับ ความเร็วรอบของเครื่องยนต์ขณะเดินเบาควรปรึกษาเจ้าหน้าที่ของบริษัทผู้ผลิตให้เป็นผู้ดูแลในเรื่องนี้โดยตรง
ตรวจระดับน้ำมันในห้องลูกลอยในระบบน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์ที่ใช้คาร์บูเรเตอร์ ทำหน้าที่ปรับส่วนผสมน้ำมันกับอากาศนั้น สาเหตุที่จะทำให้อัตรา การสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นจากปกติอีกประการหนึ่ง คือการไหลล้นของน้ำมันคาร์บูเรเตอร์ ซึ่งเกิดจากระดับน้ำมันในห้องลูก ลอยสูงกว่าระดับปกติโดยสามารถสังเกตได้ง่าย ๆ จากหน้าต่างกระจกของห้องลูกลอยควรให้ช่างผู้ชำนาญแก้ไขโดยเร็วนอกจากข้อสังเกตต่าง ๆ ในระบบน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว ปัญหาด้านอื่นที่เรายังสามารถผสมน้ำมันกับอากาศ ถ้าระบบจุดระเบิดส่วนผสมของเชื้อเพลิงและอากาศเร็วเกินไปจะทำให้เกิดอาการเครื่องยนต์น๊อค แต่ถ้าระบบจุดระเบิด ช้าเกินไป จะทำให้กำลังงานที่ได้ลดลง และมีผลให้กินน้ำมันมากขึ้นด้วย หากรถยนต์มีอาการดังกล่าวควรรีบแก้ไขโดยเร็ว การเตรียมพร้อมก่อนการเดินทาง การมีข้อมูลที่พร้อมสำหรับการเดินทางเป็นวิธีหนื่งที่ช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างมาก และเป็นการเพิ่มความปลอดภัย
1. เตรียมหมายเเลขโทรศัพท์ติดต่อของจุดหมายหบายทางหรือสถานีตำรวจในเส้นทางที่ผ่าน กรณีฉุกเฉินหรือหลงทาง
2. เตรียมแผนที่เส้นทาง เพื่อป้องกันการหลงทางและสิ้นเปลืองน้ำมัน
3. ตรวจสอบเส้นทางและเลือกเส้นทางลัด หรือ เส้นทางที่เหมาะสม แต่ถ้าหากเส้นทางรลัดมีผิวถนนไม่เรียบการขับรถบนผิวถนนเรียบจะประหยัดน้ำมันกว่า
4. ตรวจสอบระดับน้ำในแบตเตอรี่ให้อยู่ในระดับที่กำหนดและมีน้ำกลั่นสำรองประจำรถ
5. ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องให้อยู่ในระดับที่กำหนด หากปล่อยให้น้ำมันเครื่องแห้งหรือระดับต่ำกว่าขีดกำหนด เครื่องยนต์จะเสียหายมากค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแก้ไขจะสูงมาก
6. ตรวจสอบไฟฉายประจำรถ ยังใช้งานได้ดีหรือไม่ ถ่านแบตเตอรี่หมดอายุหรือไม่
7. ควรมีอุปกรณ์สำรองไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินประจำรถ เช่น แผ่นสะท้อนแสงแจ้งเหตุฉุกเฉินกรณีต้องจอดข้างทางไฟฉาย แบบกระพริบ
8. อุปกรณ์สำหรับเปลี่ยนยางรถยนต์ ควรอยู่ท้ายรถเสมอ
9. ตรวจสอบไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ที่ปัดน้ำฝน กระจกหน้า กระจกข้างว่ายังทำงานปกติหรือมไม่
10. ตรวจสอบหน้ายางรถยนต์ว่ามีเศษแก้ว เศษหินเกาะอยู่หรือไม่และควรเขี่ยออกถ้าเป็นตะปูฝังอยู่ต้องถอนและซ่อมรูที่รั่ว
11. ตรวจสอบระดับน้ำในหม้อน้ำ อย่าให้ต่ำกว่าขีดต่ำสุดที่กำหนด หรือปล่อยให้แห้งเพราะจะเกิดอันตรายและอาจจะต้องเปลี่ยนหม้อน้ำตัวใหม่ ทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
12. ผู้ขับควรมีการพักผ่อนอย่างเพียงพอก่อนขับรถเดินทางไกล และไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใด ๆ ก่อนเดินทาง
การขับรถอย่างถูกวิธี
การขับรถอย่างถูกวิธีจะมีส่วนช่วยให้เราสามารถลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง หากเราปฎิบัติตามข้อแนะนำ ต่อไปนี้
ไม่ควรเร่งเครื่องยนต์ก่อนออกจากรถการเร่งเครื่องให้มีความเร็ซรอบสูงจะทำให้อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น เพราะเมื่อเครื่องยนต์มีความเร็วรอบสูงอัตราความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงจะสูงตามด้วย เมื่อออกรถเราไม่ จำเป็นต้องเร่งเครื่องยนต์ โดยทั่งไปความเร็วรอบที่เหมาะสมสำหรับการออกรถประมาณ 1,100 - 1,250 รอบต่อนาที
ไม่ควรติดเครื่องขณะจอดรถคอยกรณ๊ที่ต้องจอดรถคอยเป็นเวลานาน ควรดับเครื่องยนต์เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเปล่าประโยชน์ การติดเครื่องจอดอยู่เฉย ๆเป็นเวลา 5 นาที จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันโดยเปล่าประโยชน์ 0.3 ลิตร
ขับรถที่ความเร็วเหมาะสมการขับรถด้วยความเร็วสูง จะต้องใช้ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงตามดังนั้นเราควรควบคุมความเร็วในอัตราที่เหมาะสม คือ ปริมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากขับที่ความเร็ว110 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะใช้น้ำมันมากขึ้น ประมาณร้อยละ 17
การใช้เกียร์ให้สัมพันธ์กับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ไม่ควรใช้เกียร์ต่ำ (เกียร์ 1 และ 2) ที่ความเร็วรอบสูง หรือ ใช้เกียร์สูง (เกียร์ 3, 4 และ 5) ที่มีความเร็วรอบต่ำ จะมีผลให้กำลังเครื่องตกและจะสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าปกติ
การเปิดเครื่องปรับอากาศในการเปิดเครื่องปรับอากาศ จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 25 ดังนั้นหากเราเปิดใช้เครื่องปรับอากาศตามความจำเป็นและไม่ปรับให้เย็นมากเกินไป จะสามารถลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลงได้เป็นอย่างมาก
ไม่ควรบรรทุกน้ำหนักมากเกินไปกรณ๊ที่เราบรรทุกน้ำหนักเกินเพียง 50 กิโลกรัม จะมีผลทำให้ระยะทางที่วิ่งได้ต่อน้ำมัน 1 ลิตร สั้นลง 1 กิโลเมตร ดังนั้นจึงควรสำรวจดูในรถหากมีสิ่งของที่ไม่จำเป็นควรนำออก
เติมลมยางให้เหมาะสมตรวจเช็คและเติมลมยางให้เหมาะสมกับขนาดของรถยนต์ หากลมยางแข็งเกินไปจะทำให้ยางแตกและขับขี่ไม่นุ่มนวลในขณะเดียว กันถ้าลมยางอ่อนเกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น ดังนั้นควรเติมลมยางตามเกณฑ์มาตราฐานที่กำหนดจากผู้ผลิต หากความดันลมยางต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดทุก ๆ 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้วจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2
ตรวจเช็ครถยนต์ตามระยะเวลาที่กำหนดการตรวจเช็ครถยนต์ตามระยะเวลาที่กำหนด เป็นการบำรุงรักษาอุปกรณ์ต่าง ๆ ของรถยนต์ไม่ให้สึกหรอ และสามารถใช้งานต่อได้อย่างปลอดภัยและไม่เปลืองน้ำมัน การตกแต่งรถการตกแต่งรถบางอย่าง เช่น การขยายหน้ายางล้อให้ใหญ่กว่าขนาดมาตรฐานเดิมจะเป็นการเพิ่มพื้นที่การรับน้ำหนักของรถ เมื่อต้องเพิ่มอัตราเร่ง จะทำให้เครื่องยนต์ใช้ความเร็วรอบสูงกว่าปกติ เป็นเหตุให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นด้วย
ตารางเพื่อการขับรถอย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงาน
1. ไม่ควรเร่งเครื่องยนต์ก่อนการออกรถ ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยไม่จำเป็น
2. ไม่ควรติดเครื่องยนต์ระหว่างจอดรอคอย ติดเครื่องโดยจอดอยู่กับที่ 5 นาทีจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน 0.3 ลิตร และเกิดไอเสียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
3. ขับรถด้วยความเร็วที่เหมาะสม อัตราความเร็วที่เหมาะสมคือ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
4. ใช้เกียร์ให้สัมพันธ์กับความเร็วของเครื่องยนต์ เพื่อป้องกันไม่ให้กำลังเครื่องยนต์ตกและไม่เกิดการเปลืองน้ำมัน
5. ไม่บรรทุกสิ่งของเกินพิกัด หากบรรทุกน้ำหนักเกิน 50 กิโลกรัม น้ำมันที่มีอยู่จะวิ่งได้ระยะทางสั้นลง 1 กิโลเมตรต่อ 1 ลิตร เป็นการสิ้นเปลืองน้ำมัน
6. เปิดเครื่องปรับอากาศตามความจำเป็น เครื่องปรับอากาศทำงานได้โดยอาศัยพลังงานจากน้ำมันด้วยและยิ่งปรับให้เย็นมากเกินความจำเป็น ก็ยิ่งสิ้นเปลืองน้ำมัน
7. ปรับลมยางให้เหมาะสมตามมาตรฐานผู้ผลิต หากความดันลมยางต่ำกว่ามาตรฐานทุก ๆ 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้วจะสิ้นเปลืองน้ำมันร้อยละ 2 8. คอยตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ เข้าศูนย์ตรวจสอบเครื่องยนต์ตามเวลาที่ผู้ผลิตกำหนด
9. หลีกเลี่ยงสภาพถนนที่ไม่ดี สภาพถนนทีไม่ดีทำให้เกิดสูญเสียของน้ำมันเพิ่มขึ้น ราดยางที่มีผิวเสียหาย ร้อยละ 15 ลูกรัง ร้อยละ 35 ทรายแห้ง ร้อยละ 45
10. การบำรุงรักษาให้อยู่สภาพดี ควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเมื่อถึงกำหนด ควรเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นทุก ๆ ระยะ 5,000 กิโลเมตร ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง ระดับน้ำในแบตเตอรี่ รอยรั่วในระบบน้ำมันเชื้อเพลิง หลีกเลี่ยงการใช้เบรกโดยไม่จำเป็น เพราะสื้นเปลืองน้ำมันและอายุการใช้ของเบรกสั้นลง ปรับปรุงสมรรถนะของรถยนต์ให้ดีตลอดเวลา ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ร้อยละ 3 - 9
*จากเอกสารเผยแพร่ ชุด สาระน่ารู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน เขียนโดยคุณอธิคม นิลอุบลกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ขอรับข้อมูลเพิ่มเติมที่ : ศูนย์ประชาสัมพันธ์ "รวมพลังหาร 2" สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเลขที่ 394/1 ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทร : 628-7745-53, 280-0951-7 ต่อ 142, 144--จบ--
-สส-