กรุงเทพฯ--6 ก.ย.--สปาร์ค คอมมิวนิเคชันส์
โรคซึมเศร้าถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ ส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ คาดว่าภายในปี 2563 โรคซึมเศร้าจะก่อให้เกิดความสูญเสียด้านสุขภาพเป็นลำดับ 2 รองจากโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากเป็นโรคเรื้อรังและเป็นมหันตภัยเงียบ จึงเป็นสาเหตุให้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 เป็นต้นมา ทางองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้กำหนดให้วันที่ 10กันยายนของทุกปีเป็น "วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก (World Suicide Prevention Day)"
โดยทาง องค์การอนามัยโลก คาดว่าในแต่ละปีจะมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จเป็นจำนวนประมาณ 1 ล้านคน หรือคิดเฉลี่ยเป็น 1 คน ต่อทุก 40 วินาที สำหรับประเทศไทยนั้นมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายประมาณ 5,000 คนต่อปี ซึ่งมากกว่าการฆ่ากันตายที่มีประมาณปีละ 3,000 – 3,800 รายต่อปี ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียต่อครอบครัว สังคม และประเทศเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ทางองค์การอนามัยโลกยังพบว่าการฆ่าตัวตายติดหนึ่งใน 10 อันดับแรกของสาเหตุการตายของประชากรโลก และติดอันดับที่ 3 ของสาเหตุการตายสำหรับประชากรวัย 15 – 35 ปี โดยในหลายประเทศนั้นมีข้อมูลว่าผู้ชายฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่าผู้หญิงถึงสามเท่า
พญ.สมรัก ชูวานิชวงศ์ นายกสมาคมสายใยครอบครัว และจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลศรีธัญญา กล่าวว่า "คนไทยยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า และไม่กล้าที่จะพบจิตแพทย์เพื่อรักษาอาการ จึงทำให้ประเทศไทยพบจำนวนผู้ที่มีแนวโน้มเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูงขึ้นเป็น 6 รายต่อหนึ่งแสน คนในรอบปีที่ผ่านมา"
"การฆ่าตัวตายไม่ได้ส่งผลเสียต่อตัวผู้ที่มีความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อบุคคลรอบข้าง เช่น ผู้ที่มีอาการโกรธแล้วมักใช้อารมณ์รุนแรง หากโกรธตัวเองมากๆ ก็จะฆ่าตัวตาย แต่ถ้าโกรธผู้อื่นด้วยก็จะทำร้ายหรือฆ่าผู้อื่นแล้วจึงฆ่าตัวตายตาม โดยที่ร้ายแรงสุดคือกลุ่มคนเหล่านั้นยังคงเป็นห่วงคนในครอบครัวจึงตัดสินใจฆ่าคนในครอบครัวก่อนแล้วฆ่าตัวตายตาม เราจึงได้เห็นข่าวลักษณะนี้อยู่บ่อยครั้งในสังคม ดังนั้นการสร้างความรู้ความเข้าเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าและช่วยกันสร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับคุณค่าของชีวิต เปิดโอกาสให้มีการสื่อสารซึ่งกันและกัน จึงนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยทำให้เกิดความเข้าใจกันมากขึ้น และกลายเป็นเกราะป้องกันการเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงในอนาคตได้" พญ.สมรัก กล่าวเสริม
จากการศึกษาของกรมสุขภาพ เรื่อง การฆ่าตัวตายสำเร็จของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2556 ในประเทศไทยได้แสดงให้เห็นว่า อัตราการทำร้ายตนเองแต่ไม่เสียชีวิตพบมากสุดในจังหวัดลำพูน และน้อยที่สุดในจังหวัดปัตตานี โดยผลการศึกษายังแสดงให้เห็นว่าสัดส่วนการทำร้ายตนเองนั้นเป็นเพศชาย (ร้อยละ 78) มากกว่าเพศหญิง (ร้อยละ 22)
โดยที่จำนวนของผู้ที่ทำร้ายตนเองจนเสียชีวิตนั้นพบว่า ช่วงอายุที่ฆ่าตัวตายสำเร็จมากที่สุด คือช่วงอายุ 40 – 44 ปี และในเพศชาย พบว่า ผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จอยู่ในช่วงวัยระหว่าง 25 – 49 ปี ขณะที่เพศหญิงอยู่ในช่วงอายุ 30 – 59 ปี
มากกว่าร้อยละ 60 – 90 ของผู้ที่ฆ่าตัวตายมีความเกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้าและสารเสพติด แต่มีเพียงร้อยละ 30 เท่านั้นที่ปรึกษาแพทย์ เพราะฉะนั้นหากเราสามารถค้นหากลุ่มเสี่ยงโดยการคัดกรองภาวะเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายของคนในชุมชนได้ ก็จะสามารถนำมาเข้าสู่ระบบการรักษาร่วมกับการเข้าไปให้ความรู้เบื้องต้นแก่ประชนชนทั่วไป อันเป็นวิธีการป้องกันการฆ่าตัวตายที่มีประสิทธิภาพอย่างหนึ่ง
"เป็นที่ทราบกันดีว่าในกลุ่มผู้ที่เคยพยายามฆ่าตัวตายนี้มักจะมีโอกาสการทำซ้ำสูงมาก และนำไปสู่การฆ่าตัวตายจนสำเร็จในที่สุดได้ ถ้าหากเราไม่สามารถให้การช่วยเหลือหรือนำเขาเหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการรักษาทางจิตเวช ก็จะก่อให้เกิดความสูญเสียมหาศาลตามมาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้วยเหตุนี้กรมสุขภาพจิตได้มีความพยายามที่จะศึกษาปัญหาที่เกี่ยวข้องในเชิงลึกถึงสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่คือโรคทางจิตเวชโดยเฉพาะปัญหาโรคซึมเศร้า เพื่อนำมาซึ่งแนวทางการป้องกันและแก้ไขที่ดีต่อไป" พญ.สมรัก กล่าวปิดท้าย
เนื่องด้วย"วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก (World Suicide Prevention Day)" ชมรมส่องแสง สมาคมสายใยครอบครัว และโรงพยาบาลศรีธัญญา ร่วมสนับสนุนโดยบริษัทไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้ร่วมกันจัดกิจกรรม "10 กันยา คืนคุณค่าชีวิต" เพื่อให้ผู้มีประสบกาณ์กับโรคซึมเศร้าและท่านที่สนใจเข้าร่วมงานได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์พร้อมพูดคุยกับผู้ที่สามารถก้าวข้ามผ่านวิกฤตมาแล้ว พร้อมนักวิชาชีพชำนาญการที่พร้อมให้คำปรึกษาแก่ท่านที่สนใจ โดยกิจกรรมดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันเสาร์ ที่10กันยายน 2559 ตั้งแต่เวลา 13.00 – 18.00 น. ณ แกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 1 เอสพานาด งามวงศ์วาน-แคราย สำหรับท่านที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ชมรมส่องแสง (คุณอี๊ด) 099-619-1298 หรือ www.thaifamilylink.net