กรุงเทพฯ--7 ก.ย.--เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ผลักดันผู้ประกอบการเพื่อลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม โดย 3 อุตสาหกรรมที่เติบโตในกลุ่ม CLMV อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้าง อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร และอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการเกษตร ทั้งนี้ กสอ. ได้จัดกิจกรรมBusiness Matching Forum 2559 ระหว่างวันที่ 7 – 8 กันยายน 2559 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ โดยร่วมกับเครือข่ายผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย หรือ DIP SMEs Network ส่งเสริมผู้ประกอบการเพื่อต่อยอดและเจรจาทางธุรกิจกับผู้ประกอบการในกลุ่ม CLMV โดยคาดว่าผลจากการเจรจาจะสร้างมูลค่าได้กว่า 100 ล้านบาท ทั้งนี้ยังเตรียมอัดงบผ่าน 20 กว่าโครงการดันผู้ประกอบการไทยสู่เวทีการค้าระหว่างประเทศ
นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า สำหรับกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม มีประชากรรวมกันกว่า 166 ล้านคน นับเป็นกลุ่มประเทศเป้าหมายแรกที่มีการส่งเสริมให้มีการส่งออกและลงทุน เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่ยังคงมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง และมีนโยบายเปิดกว้างรับการลงทุนจากต่างประเทศ การค้าขายและการส่งออกในกลุ่มประเทศ CLMV มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศเมียนมาร์ และประเทศกัมพูชา ทั้งนี้การส่งออกโดยรวมมีมูลค่าในปี 2558 รวมกว่า 24,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 752,178ล้านบาท (ที่มา สรุปสถานการณ์การค้าระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศ CLMV, กรมศุลกากร)
นางอนงค์ กล่าวต่อว่า การเติบโตดังกล่าวเกิดจากปัจจัยสนับสนุน อาทิ สินค้าของไทยมีภาพลักษณ์และศักยภาพที่ดีต่อผู้บริโภค การใช้นวัตกรรมอันทันสมัยในการพัฒนาสินค้า รวมไปถึงสินค้าที่ส่งออกเป็นธุรกิจที่ผู้ประกอบการของไทยมีความถนัดและเชี่ยวชาญ ประกอบกับทำเลที่ตั้งที่เป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศ CLMV ทำให้ได้เปรียบกว่าประเทศคู่แข่งอื่นที่อยู่ไกลกว่า สำหรับภาคธุรกิจที่เข้าไปลงทุนและส่งออกตามแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกันไป โดยการลงทุนในประเทศกัมพูชาส่วนใหญ่เป็นการลงทุนและส่งออกในด้านอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร ประเทศลาวเป็นการผลิตในหมวดพลังงาน เมียนมาร์เป็นการลงทุนและส่งออกในด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างและเครื่องมือการเกษตร และเวียดนามจะเป็นการลงทุนและส่งออกในผลิตภัณฑ์อาหารและชิ้นส่วนยานยนต์ โดยอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้าง อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป และอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการเกษตร
ทั้งนี้ กสอ. ได้กำหนดจัดกิจกรรมการส่งเสริมผู้ประกอบการเพื่อต่อยอดธุรกิจ หรือ Business Matching Forum ในปี 2559 โดยร่วมกับเครือข่ายผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย หรือ DIP SMEs Network จัดกิจกรรมเจรจาการค้ากับทางเครือข่ายและกลุ่ม CLMV โดยคาดว่าในเวลา 2 วัน คือ 7 – 8 กันยายนนี้ จะสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 100 ล้านบาท ในกลุ่มประเทศ
CLMV อย่างไรก็ตามภายใต้การส่งเสริมและสนับสนุนของ กสอ. ยังมีโครงการต่างๆในการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทยเพื่อการส่งออกในตลาดต่างประเทศ กว่า 20 โครงการ อาทิ โครงการสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพโครงการพัฒนาผู้ประกอบการสาขาเป้าหมายเพื่อให้พร้อมรับการเปิดเสรี ฯลฯ ทั้งนี้ในการส่งเสริมผ่านโครงการต่างๆ ถือเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการในการแก้ไขข้อจำกัดทางธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยังเป็นการเปิดตลาดใหม่เพื่อสร้างโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในเวทีการค้าระหว่างประเทศ นางอนงค์กล่าวทิ้งท้าย
ด้าน นายพีรพงษ์ อริยะแจ่มเลิศ กรรมการผู้จัดการบริษัท ไท้เพ้งวาล์ว แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ผู้ประกอบการในเครือข่ายผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า ตลาดการค้ากลุ่ม CLMV มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในประเทศ เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา โดยบริษัทของตนได้เริ่มขยายเข้าไปในกลุ่มประเทศดังกล่าวมากว่า 20 ปีแล้ว และมองว่าตลาดเหล่านี้ถือเป็นตลาดเดียวกันกับประเทศไทย ซึ่งแนวโน้มในอนาคตข้างหน้ามีความเชื่อมั่นว่าตลาดการค้าสินค้าประเภทก๊อกและวาล์วน้ำจะมีการขยายตัวที่สูงกว่าในประเทศไทยอย่างแน่นอน ทั้งนี้บริษัทของตนถือเป็นอันดับ 1 ในการส่งออกไปยังประเทศพม่า โดยการเติบโตที่ต่อเนื่องเป็นผลมาจากการพัฒนานวัตกรรมการผลิตระดับสูง คุณภาพของสินค้า ความทนทาน และการดีไซน์ที่เป็นส่วนผสมของกลยุทธ์
ในมุมมองของ นางกิติพร ตรงกิจไพศาล กรรมการบริหาร บริษัท สยามโตชู จำกัด ผู้ประกอบการในเครือข่ายผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย มีความคิดเห็นว่า การส่งออกสินค้าในกลุ่มประเทศ CLMV มีการเติบโตเรื่อยมา โดยเฉพาะในระยะหลังที่มีการรวมกลุ่มเป็นประชาคมอาเซียน ทั้งจากนโยบายเปิดประเทศและการพัฒนาอุตสาหกรรม ทำให้สินค้าในหลายกลุ่มมีโอกาสในการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ ทั้งนี้ตนมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูงกว่าประเทศอื่นๆเนื่องจากวิทยาการและนวัตกรรมการผลิตที่ทันสมัย โดยปัจจุบันสินค้าของตนซึ่งเป็นเครื่องขัดผิวโลหะเป็นที่ต้องการอย่างมากในภาคการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของประเทศเวียดนาม โดยปัจจัยที่ทำให้เป็นผู้นำในด้านการแข่งขันของสินค้าประเภทนี้เนื่องจากการพัฒนานวัตกรรมและการออกแบบที่มีอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการผลิตด้วยต้นทุนที่ต่ำแต่คุณภาพสูงจึงทำให้ได้เปรียบกว่าคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักพัฒนาผู้ประกอบการ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร. 02 - 2024521 , 02-2024489 หรือเข้าไปที่http://bed.dip.go.th