กรุงเทพฯ--12 ก.ย.--Brand Communication Company Limited
โครงการ "กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว" ประกาศผลรายชื่อ 30 ทีมสุดท้ายที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยกิจกรรมครั้งนี้ได้มีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า ทั้งสายสามัญและสายอาชีพ ส่งโครงงานเข้าประกวดจำนวน 254 ทีม จากทั่วประเทศ ซึ่ง 30 ทีม ได้มา เข้าค่ายเวิร์คช็อปในหัวข้อต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชน พร้อมเปิดโอกาสให้ทั้ง 30 ทีมนำเสนอโครงงานของตนเอง กิจกรรม "The Following Camp" จัดขึ้น ณ โรงแรมแอมบาสเดอร์ กรุงเทพฯ โดยเชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ มาร่วมติวเข้ม เพื่อพลิกฟื้นชุมชนด้วยวิถีเศรษฐกิจพอเพียง นางศิริพร นพวัฒนพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า โครงการ "กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว" ในปีนี้ได้ปรับกระบวนการในการดำเนินโครงการ เพื่อปลูกฝังความรู้ความเข้าใจ ในการพัฒนาชุมชนด้วยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งนักเรียนที่ผ่านเข้ารอบแรก 30 ทีมนี้ จะได้เข้าร่วมกิจกรรม "The Following Camp" ซึ่งเป็นการสัมมนาเชิงปฏิบัติการทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติ พร้อมทั้งสร้างสัมพันธ์ระหว่างทีมที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 30 ทีม โดยตลอดระยะเวลา 4 วัน จะได้ฝึกทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ แก้ไขปัญหาต่างๆ อบรมความรู้เรื่อง Project-based Learning (โปรเจกต์-เบส-เลิร์นนิ่ง) ซึ่งจะสามารถนำไปเป็นแนวทาง ในการดำเนินโครงงานได้จริงและปรับใช้กับชุมชนของตนเองหรือขยายผลสู่ชุมชนใกล้เคียงได้ เพื่อคัดเลือก 10 ทีมสุดท้ายเข้ารอบ ชิงชนะเลิศ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พร้อมเงินรางวัลรวมกว่า 1,350,000 บาท
10 ทีมสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศจะได้ดำเนินโครงงานจริงและมีผู้บริหารธนาคารในแต่ละพื้นที่ เข้าร่วมสังเกตการณ์และให้คะแนน ซึ่งแต่ละทีมจะต้องสรุปผลการดำเนินโครงงานและเสนอต่อคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และก่อนถึงรอบตัดสินจะให้ 10 ทีมสุดท้ายนำผลงานมาโพสต์ผ่านทางโซเชียลเพื่อหาทีม ป็อปปูลาร์ โหวต (Popular Vote) อีกด้วย โดยรอบตัดสินจะจัดขึ้นในวันที่ 19 ธันวาคม 2559 ธนาคารกรุงไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการ "กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว" นี้ จะได้สร้างเยาวชนให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นบุคคลที่มีคุณภาพของสังคมและประเทศต่อไป นางศิริพร กล่าวปิดท้าย" ติดตามความเคลื่อนไหว โครงการ "กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว ประจำปี 2559" ได้ที่ www.ktb.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจ www.facebook.com/ktbcare