กรุงเทพฯ--21 ก.ย.--กองประชาสัมพันธ์ มทร.ธัญบุรี
"คนทำงาน คือคนที่ชีวิตมีคุณค่า เพราะไม่งอมืองอเท้าต่อโอกาสที่ผ่านเข้ามา" นี่เป็นความเชื่อของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ที่มองเห็นมุมมองด้านบวกและเสน่ห์ของการทำงาน ไม่ว่าชีวิตต้องทำงานเหนื่อยแสนเหนื่อยเท่าใด งานก็คือโอกาส และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่จะทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น
นายธนาคาร ทองสุข หรือ เอิร์ท นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี นักศึกษาทุนเซ็นทรัล ในโครงการความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง มทร.ธัญบุรี และบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด หนุ่มนักสู้ที่ขยันทำงานหลังเลิกเรียน
เอิร์ท เล่าว่า ตนเป็นลูกคนกลาง พ่อมีอาชีพขับรถแท็กซี่ ส่วนแม่ขายหนังสือ ด้วยฐานะทางบ้านและข้อจำกัดของครอบครัว จึงทำให้ได้บวชเรียนในช่วงมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนเตรียมพุทธศาสตร์ จ.ปราจีนบุรี แล้วศึกษาต่อที่โรงเรียนปทุมวิไล จ.ปทุมธานี จนจบ ม.6 และเริ่มทำงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหาร ตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของตนเองและครอบครัว
จากนั้นเอิร์ทก็สอบเข้าเรียนสาขาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มทร.ธัญบุรี (ทุนเซ็นทรัล) เพราะเรียนฟรีตลอดหลักสูตร ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมองเห็นโอกาสในการได้ฝึกงานจริงในเครือเซ็นทรัล ได้เบี้ยเลี้ยงจากการฝึกงาน รวมถึงเมื่อเรียนจบยังมีงานทำแน่นอน ซึ่งลดความเสี่ยงในการตกงานไปในตัว โดยทุกวันจะมีเรียนเพียง 3 วัน และทำงานอีก 3 วัน วันละ 8 ชั่วโมง ได้วันละ 300 บาทจากโครงการ ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับการตรวจเช็คสินค้าในห้างฯ ส่วนวันอาทิตย์เป็นการเรียน รด.
แต่ด้วยค่าครองชีพในปัจจุบัน รวมถึงการช่วยสนับสนุนครอบครัว จึงทำให้ต้องหาอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ รวมถึงการอดออม ขนาดจะซื้อรองเท้าสักหนึ่งคู่ ต้องคิดไกลถึงการใช้งานและความคุ้มค่า เอิร์ทจึงมีรองเท้าผ้าใบสีดำคู่เก่งเพียงหนึ่งคู่เท่านั้น ที่ใส่ไปเรียน ทำงานและขับวินมอเตอร์ไซด์
วันหนึ่งขณะนั่งทำการบ้านในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ตอนนั้นไม่มีเงินติดตัวเลยแม้แต่บาทเดียวจึงทำให้ไม่ได้กินข้าวเลยตั้งแต่เช้า บังเอิญมหาวิทยาลัยกำลังอยู่ในช่วงจัดงานทางวิชาการ เห็นข้าวกล่องจำนวนหนึ่งที่ป้าแม่ (ป้าทิพย์) บ้านหิ้วมา เข้าใจว่าเหลือจากการแจกผู้เข้าร่วมงาน และด้วยความหิวจึงเดินเข้าไปขอ ผมได้เห็นสายตาของคนที่หยิบยื่นให้เรา ขณะเดียวกับเราเองก็รู้สึกดี มื้อนั้นจึงเป็นมื้อที่อิ่มและมีความสุขมาก
ระหว่างนั้นป้าทิพย์ ก็ได้พูดคุยถามไถ่ ให้กำลังใจเรื่องเรียน ทั้งยังแนะนำให้รู้จักกับป้าตุ้ม ผู้ใหญ่ใจดีอีกท่านหนึ่ง ที่มอบอีกหนึ่งอาชีพให้ทำหลังเลิกเรียน นั่นคือการขับวินมอเตอร์ไซด์ ป้าตุ้มได้ให้เสื้อวินมาขับในย่านพรธิสาร (คลองหก) อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ซึ่งใกล้กับมหาวิทยาลัย โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ซึ่งเสื้อวินตัวนี้เคยช่วยสนับสนุนนักศึกษามาแล้วหลายต่อหลายรุ่น นับว่าโชคดีที่ได้โอกาสตรงนี้ ซึ่งตนเองนั้นมีรถมอเตอร์ไซด์เป็นของตนเอง และสามารถขับได้อย่างคล่องแคล่ว จึงเริ่มทำอาชีพนี้เรื่อยมา หลังจากเลิกเรียน
อาชีพขับวินมอเตอร์ไซด์ ทำรายได้ให้กับตนเองค่อนข้างดี เพราะการเดินทางในย่านพรธิสารนี้ รถมอเตอร์ไซด์มีความสะดวกกว่า เร็วกว่ามากมาย แต่ความเสี่ยงก็มากเช่นเดียวกัน ซึ่งตนเองมีรายได้จากอาชีพนี้วันละประมาณ 200 บาทต่อวัน ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ก็เป็นนักศึกษาและคนทำงาน
เอิร์ทมองว่า "เราเองเคยได้รับโอกาสมาแล้ว เราก็ควรสวมบทเป็นผู้ให้เช่นเดียวกัน เวลาเจอน้องๆ สาขาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ ผมจะไปส่งให้ฟรีตามรอบตามคิวของการขับวิน พอเพื่อนๆ รู้ว่าผมทำอาชีพนี้ ก็ช่วยกันสนับสนุนผมเหมือนกัน เช่น สั่งกาแฟ ขนมปัง เบเกอรี่ แล้วให้ผมไปรับ และมาส่งให้ ซึ่งก็นับว่าผมโชคดีที่คนรอบข้าง รู้และเข้าใจในสิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้"
การขับวินสิ่งหนึ่งที่คนขับต้องมีคือ ความรอบรู้ รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนซอยไหน สิ่งนี้เรียนรู้กันได้ไม่ยาก และจะต้องมีความระมัดระวังอย่างรอบด้าน ทั้งระวังเรา ระวังเขาและระวังผู้โดยสาร ในเรื่องอุบัติเหตุ
"ผมเคยประสบอุบัติเหตุด้วยรถมอเตอร์ไซด์มาครั้งหนึ่ง จากความประมาทของคนขับรถกระบะรายหนึ่ง ทำให้ผมขับรถไปชนท้ายรถยนต์อีกคัน อุบัติเหตุครั้งนี้นอกจากจะทำให้ได้รับความบาดเจ็บแล้ว ยังทำให้ต้องเสียเงินตามมาอีกมากมาย ทั้งค่าซ่อมรถและจ่ายให้กับคู่กรณี"
เอิร์ทมองว่า "เราเองเคยได้รับโอกาสมาแล้ว เราก็ควรสวมบทเป็นผู้ให้เช่นเดียวกัน เวลาเจอน้องๆ สาขาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ ผมจะไปส่งให้ฟรีตามรอบตามคิว พอเพื่อนๆ รู้ว่าผมทำอาชีพนี้ ก็ช่วยกันสนับสนุนผมเหมือนกัน เช่น สั่งกาแฟ ขนมปัง เบเกอรี่ แล้วให้ผมไปรับ และมาส่งให้ ซึ่งก็นับว่าผมโชคดีที่คนรอบข้างรู้และเข้าใจในสิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้"
ส่วนรายได้ที่ได้มานั้น ก็นำมาเป็นค่าใช้จ่ายการกินอยู่ประจำวัน การเรียน รวมถึงช่วยเหลือครอบครัวในบางครั้ง ขณะเดียวกันบางช่วงที่ขัดสนจริง ๆ ทางครอบครัวก็ช่วยผมเช่นกัน
"เวลาที่ขัดสนเรื่องเงิน หลายคนคงหยิบยืม หรือไปกู้เขามา นั่นก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ผมจะไม่เลือกทางนั้น เพราะผมเห็นพ่อและแม่เป็นหนี้แล้วมีความลำบาก ความมั่นคงในการชีวิตก็ลดน้อยลง บางครั้งหนี้เก่าก็ก่อให้เกิดหนี้ใหม่ที่ผูกพันไปเรื่อย ๆ จนหาทางออกไม่ได้"
เอิร์ทปฏิญาณกับตนเองว่า จะต้องตั้งใจเรียนและเรียนให้จบ แม้เกรดจะไม่ได้สวยหรู แต่จะพยายามอย่างเต็มที่ การทำงานทั้งหมดจะต้องหยุดไว้ก่อนสอบ 1 สัปดาห์เพื่อทบทวนหนังสือ และติวกับเพื่อนในกลุ่ม
"ผมได้รู้ได้เห็นมาหมดแล้วที่ว่า จบ ม.3 ทำงานได้เพียงเท่านี้ ถ้าจบ ม.6 ทำเท่านี้ หากจบปริญญาตรีโอกาสก็มากกว่า ยิ่งจบ ป.โท หรือ ป.เอก ด้วยแล้ว โอกาสที่เราจะเลือกงานที่ตรงกับความชอบ ความถนัดของเราก็ยิ่งมากขึ้นด้วย ถ้ามีกำลัง มีโอกาส ก็จะเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น จะไม่หยุดหาความรู้ และไม่หยุดพัฒนาตนเองแน่นอน เพราะความจนในแบบปากกัดตีนถีบมันน่ากลัว ผมผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว"
"ถ้าวันไหนเหนื่อย...ขอแค่นอนพักผ่อนให้เต็มที่ ตื่นขึ้นมาก็หายแล้ว"
เอิร์ทเล่าว่า มีบางครั้งที่วันหนึ่ง ๆ จะมีสิ่งที่ต้องทำหลายอย่าง จนรู้สึกว่าแบตเตอรี่ร่างกายจะหมด แต่ใจไม่เคยถอย ทุกครั้งที่รู้สึกแบบนั้น กลับมาถึงบ้านเมื่อหัวถึงหมอนก็หลับสนิท การพักผ่อนที่ผมชอบที่สุดคือการนอน เพราะตื่นขึ้นมาก็เป็นวันใหม่ วันแห่งการเริ่มต้นและวันที่ต้องไปต่อ
แม้ชีวิตของเอิร์ทตอนนี้ค่อนข้างจะดีขึ้น แต่ก็ปรารถนาให้ความเป็นครอบครัวของตนเองกลับมาเป็นเหมือนเดิมระหว่างพ่อกับแม่ รวมถึงฝันที่จะมีธุรกิจเป็นของตนเอง มอบให้กับครอบครัวเกี่ยวกับธุรกิจคาร์แคร์ นอกจากนี้ยังตั้งใจที่จะพาตนเองและครอบครัวไปพักผ่อนที่ทะเลอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาด้วยกันอีกสักครั้ง ตามโอกาสที่จะอำนวย และเอิร์ทยังอยากที่จะขอบคุณผู้ส่งต่อโอกาสดี ๆ รวมทั้งแง่คิดเพื่อให้กำลังใจผู้คนว่า
"ขอบคุณมหาวิทยาลัยและทุนเซ็นทรัลที่ให้ความรู้ ขอบคุณครอบครัวที่ให้ความรักอย่างไม่จางหาย ขอบคุณป้าตุ้ม-ป้าทิพย์ที่หยิบยื่นโอกาสดี ๆ ขอบคุณตนเองที่ไม่เคยท้อแท้ คำว่าโอกาสสำหรับผมยิ่งใหญ่เสมอ ผมจะคว้าโอกาสทุกครั้งที่มีโอกาส จะยากจะเหนื่อยเพียงใด ใจของเราก็ต้องสู้...ขอให้กำลังใจคนที่เรียนและทำงานไปด้วยทุกคนครับ"