กรุงเทพฯ--27 ก.ย.--โอกิลวี่ พับลิค รีเลชั่นส์
SC ASSET เราเชื่อว่าบ้านที่ดีต้องเป็นมากกว่าที่พักอาศัย และเป็นจุดเริ่มต้นความสุขในทุกๆ วัน ภายใต้สโลแกนที่ว่า "For Good Mornings ชีวิตที่ดี มาจากจุดเริ่มต้นที่ดี" จึงได้สร้างสรรค์เป็นแคมเปญ "Walk With Me มิตรภาพดีๆ มีอยู่รอบรั้ว...แค่ออกเดิน" ตามแนวปรัชญาของแบรนด์ที่สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี รวมไปถึงสังคมที่อบอุ่นของเพื่อนบ้านรอบๆ รั้ว
โฉมชฎา กุลดิลก ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ที่ผ่านมาเราจัดกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์ให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องในทุกโครงการมามากกว่า 13 ปี ซึ่งการสร้างสังคมคุณภาพอันอบอุ่น เราเชื่อว่าสังคมจะอบอุ่นได้ ย่อมต้องมี "มิตรภาพ" จึงเป็นที่มาของ การสื่อสารแคมเปญ Walk With Me ที่เราอยากให้ทุกคนเชื่อว่าการก้าวเท้าออกเดินจากบ้านจะเป็นโอกาสให้ได้พบปะเพื่อนใหม่ เสริมสร้างสังคมเพื่อนบ้านอันอบอุ่นให้มีความสัมพันธ์และมิตรภาพที่แข็งแรง
สำหรับแคมเปญ Walk With Me เอสซี แอสเสทฯ ได้การสร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณาในรูปแบบมิวสิควีดิโออินเทอร์แอ็คทีฟ (Interactive Music VDO) ที่กำกับโดย "โคไซ เซกิเนะ" ผู้กำกับมือรางวัลชาวญี่ปุ่น และมีเพลงประกอบเพราะๆ จากฝีมือของ "เจ-มณฑล จิรา" และแฮนน่า เบ็งสัน นักร้องและโปรดิวเซอร์ชาวสวีเดน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของมิตรภาพที่ผู้ชมสามารถเลือกเรื่องราวได้เองถึง 12 รูปแบบ เป็นสื่อกลางในการเชิญชวนผู้ชม ทั้งลูกค้าและบุคคลทั่วไปให้เข้ามาร่วมกิจกรรม Walk With Meบนเว็บไซต์ walkwithme.scasset.com
นอกจากนี้ยังเลือกรองเท้าเดิน adidas มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจ ให้ผู้เข้าร่วมแคมเปญร่วมสนุกลุ้นรับผ่านกิจกรรมในโซเชียลมีเดีย พร้อมชวนร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้สังคมด้วยการแบ่งปันบริจาครองเท้าสภาพดีเพื่อบริจาคให้กับกับมูลนิธิ Second Chance
ที่สำคัญยังได้ชวน ศราวุฒิ รัชนกูล พร้อมเหล่าเซเลบฯ รุ่นใหม่ ออกมาเดินสร้างมิตรภาพ พร้อมส่งต่อสิ่งดีๆให้สังคม"
ในวันรับรองเท้า ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงอย่าง ศราวุฒิ รัชนกูล ก็จูงมือเหล่าเซเลบฯ เพื่อนๆ มารับรองเท้า adidas พร้อมร่วมสร้างบรรยากาศอบอุ่นที่โครงการ BEATNIQ สุขุมวิท 32 คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุดของ เอสซี แอสเสท เลยได้โอกาสถามมุมมองเรื่องมิตรภาพของคุณศราวุฒิและเพื่อนๆ ในฐานะตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่มีโอกาสไปงานสังสรรค์และเข้าสังคมอยู่เป็นประจำ
ศราวุฒิ รัชนกูล ผู้บริหารคนเก่ง ทายาทรุ่นที่ 3 ของเจ.บี.พี. อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์ อีกทั้งยังเป็นลูกบ้านของทาง เอสซี แอสเสท บอกว่า "ถ้าต้องเปรียบเทียบให้ง่ายที่สุด ก็เหมือนสีทาบ้านที่ยังต้องมีสีทาภายในและสีทาภายนอกต่างชนิดกัน การอยู่ในบ้านกับคนในครอบครัว เราก็สามารถพบความสุขได้แบบหนึ่ง แต่เมื่อออกไปนอกบ้าน ได้พบปะผู้คน ได้สร้างมิตรภาพกับผู้คนในบ้านใกล้เรือนเคียง ก็เป็นความสุขอีกรูปแบบหนึ่งที่พวกเราสามารถพบได้ไม่ยากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นความหมายของการอยู่บ้านจึงไม่ใช่แค่การมีความสุขกับคนในครอบครัวอย่างเดียว แต่ยังหมายรวมถึงความสุขที่ทุกคนในสังคมแบ่งปันร่วมกันด้วยครับ"
ทางด้าน หญิง-ปรัชญมน บุรณศิริ เจ้าของร้านอาหาร Chant และทายาทเจ้าของธุรกิจนำเข้าผลิตภัณฑ์ดูแลมือและเท้าแบรนด์OPI บอกว่า "สำหรับหญิง เวลาอยู่บ้าน หญิงจะมีความสุขกับการทำอาหารมากค่ะ แล้วคุณแม่ของหญิงก็เป็นคนชอบทำอาหารด้วย พอมีเวลาว่างก็จะเข้าครัวทำอาหารด้วยกันตลอด แต่ถ้าก้าวเท้าออกจากบ้าน หญิงจะเปลี่ยนเป็นคนแอคทีฟ ออกกำลังกายหลายประเภทตลอดเวลา ตั้งแต่วิ่ง โยคะ หรือพิลาทิส ซึ่งนอกเหนือจากการได้ผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน หญิงคิดว่าการได้ออกจากบ้านไปวิ่ง ไปสูดอากาศธรรมชาติ และไปพบเจอผู้คนข้างนอกบ้าง น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มสมดุลให้กับชีวิตที่เร่งรีบได้ดีค่ะ"
ส่วน บดินทร์ พลางกูร สถาปนิกเจ้าของบริษัท Context Studio บอกว่า "การเป็นสถาปนิกทำให้ผมเป็นคนสนใจในรายละเอียดของเรื่องเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว นอกเหนือจากพื้นที่การออกแบบข้างในบ้านแล้ว นอกบ้านก็สำคัญ ปัจจุบันลูกค้าและสถาปนิกเองให้ความสำคัญกับพื้นที่นอกบ้านไม่แพ้พื้นที่ในบ้าน เพราะคิดว่าเป็นที่ที่ได้นั่งพักผ่อน สูดอากาศ และพบปะกับผู้คน เพื่อนบ้านใหม่ๆ และทำให้เขาได้เห็นมุมมองของชีวิตที่กว้างขึ้นด้วยครับ"
ปิดท้ายที่ จอม-มนูญสินี ฟูตระกูล ที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์และบุคลิกภาพจาก Mirror Merit และทายาทโรงแรมรอยัล คลิฟฟ์ พัทยา บอกว่า "การได้พบปะผู้คนที่หลากหลายเป็นเรื่องสำคัญนะคะ อย่างสำหรับจอมเอง ต้องขอบคุณงานของจอมที่ทำให้จอมได้พบปะกับผู้คนมากมายหลากหลายประเภท การที่ได้เจอผู้คนมากขึ้น สำหรับตัวเราถือเป็นโอกาสที่ดีในการแลกเปลี่ยนเรื่องราว ประสบการณ์ต่างๆ ที่จอมสามารถนำมาใช้เป็นแรงบันดาลใจ และข้อคิดในการทำงานด้านภาพลักษณ์และบุคลิกภาพของเราได้ค่ะ"
นอกจากกิจกรรมรับรองเท้าแล้ว ผู้ที่มาในงานยังสามารถร่วมสร้างโอกาสดีๆ แก่สังคม โดยการนำรองเท้าที่ ไม่ได้ใช้แล้วมาบริจาคให้มูลนิธิ Second Chance ซึ่งจะเป็นตัวแทนส่งต่อให้ผู้อยู่อาศัยในชุมชนคลองเตยต่อไป ได้อีกด้วย นับว่าเป็นแคมเปญแห่งจุดเริ่มต้นของมิตรภาพที่ไม่สิ้นสุดจริงๆ