กรุงเทพฯ--27 ก.ย.--โอกิลวี่ พับลิค รีเลชั่นส์ เวิลด์วายด์
กลุ่มมิตรผล ประกาศแผนการลงทุนและความร่วมมือกับ Dynamic Food Ingredients(DFI) ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาสารให้ความหวานจากสหรัฐอเมริกา ที่นำนวัตกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าในกระบวนการผลิตที่ดึงคาร์บอนออกจากโมเลกุล มาแปรรูปน้ำตาลให้เป็นสารให้ความหวานจากธรรมชาติที่
มีแคลอรี่ต่ำ ได้แก่ อีริทริทอล (Erythritol)และไซลีทอล(Xylitol) ซึ่งเป็นที่แพร่หลายที่สุดในโลก โดยในระยะเริ่มต้นจะมุ่งเน้นการผลิตที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก่อน ควบคู่กับการร่วมกันวิจัยและพัฒนาที่ "ฟู๊ดอินโนโพลีส" (Food Innopolis) หรือเมืองนวัตกรรมอาหารของไทย เน้นย้ำความมุ่งมั่นของมิตรผลในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยนวัตกรรมการเกษตร สอดคล้องกับนโยบาย "ประเทศไทย 4.0" ของรัฐบาล
นายกฤษฎา มนเทียรวิเชียรฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มมิตรผล กล่าวว่า "เราเล็งเห็นถึงความสำคัญในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจมาเป็นเวลากว่า 20 ปี การลงทุนและร่วมเป็นพันธมิตรกับ DFI ครั้งนี้ใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น USD 55 ล้าน นับเป็นก้าวสำคัญในการนำการวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมมาเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจ ซึ่งสอดรับกับนโยบายประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาล ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำหน้าระดับโลกของ DFI ในการผลิตสารให้ความหวานด้วยกระบวนการทางไฟฟ้า เรามุ่งหวังที่จะนำองค์ความรู้จากการร่วมพัฒนาครั้งนี้มาต่อยอดสร้างโรงงานผลิตสารให้ความหวานจากธรรมชาติที่ฟู๊ดอินโนโพลีสในอนาคตอันใกล้ด้วย โดยการร่วมวิจัยครั้งนี้จะมุ่งเน้นการผลิตสารให้ความหวานจากแป้งหรือน้ำตาล ซึ่งได้แก่อีริทริทอล และไซลีทอล โดยใช้วัตถุดิบจากพืชเกษตรที่ปลูกในเมืองไทย เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นสารให้ความหวานทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและผู้บริโภคไทยที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ"
ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความใส่ใจกับผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมากขึ้น อีกทั้งอัตราการขยายตัวของปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งโรคเบาหวานและโรคทางช่องปาก ก็ส่งผลให้หลายคนหันมาเลือกใช้สารให้ความหวานจากธรรมชาติที่มีแคลอรีต่ำ มีผลทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่าอีริทริทอล และไซลีทอล คือทางเลือกของสารให้ความหวานจากธรรมชาติซึ่งมีรสชาติอย่างที่ผู้บริโภคต้องการโดยไม่ทิ้งกลิ่นใด ๆ ในปาก และไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพเหมือนสารให้ความหวานสังเคราะห์อื่น ๆ มีผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มจากผู้ผลิตรายใหญ่หลายรายได้ทั่วโลกที่ใช้สารทั้งสองชนิดวางจำหน่ายอยู่หลายร้อยชนิดในปัจจุบัน การร่วมมือกันครั้งนี้จะส่งผลให้สารให้ความหวานทั้งสองชนิดนี้เป็นที่นิยมแพร่หลายยิ่งขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนมีการนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น ๆ มากขึ้นในอนาคต
มร. พอล แม็กนอตโต ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Dynamic Food Ingredients (DFI) USA กล่าวว่า "เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับการที่กลุ่มมิตรผลมาร่วมเป็นพันธมิตรและลงทุนกับเราครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการขยายศักยภาพด้านนวัตกรรมการผลิตโดยใช้ไฟฟ้าซึ่งจดสิทธิบัตรของเราในการแปรรูปน้ำตาลให้เป็นผลิตภัณฑ์แคลอรีต่ำจากธรรมชาติโดยที่ยังคงรสชาติที่ดีไว้ ไม่ใช้สารให้ความหวานสังเคราะห์ (Artificial) สารแต่งสี สารแต่งกลิ่น สารเติมเต็ม หรือสารกันเสียใด ๆ เพื่อให้เราสามารถผลิตสารให้ความหวานจากธรรมชาติที่ได้รับการรับรองทางวิทยาสตร์แล้วว่าปลอดภัยต่อสุขภาพให้กับผู้บริโภคที่หันมาหาวิถีการกินที่มีคุณค่าต่อสุขภาพมากขึ้น โดยเลือกใช้สารให้ความหวานจากธรรมชาติแทนสารให้ความหวานสังเคราะห์ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก" ปัจจุบัน มีการใช้อีริทริทอล และไซลีทอล เป็นสารให้ความหวานแคลอรีต่ำกันแพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งเป็นเครื่องปรุงรสบนโต๊ะอาหารในร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารจากธรรมชาติ การร่วมเป็นพันธมิตรระหว่างมิตรผลและ DFI ครั้งนี้จะส่งผลให้เกิดผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในเรื่องรสชาติที่ดีควบคู่กับประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้งสำหรับผู้ที่ต้องการสุขภาพที่ดี และผู้ที่มีความจำเป็นด้วยเหตุผลด้านปัญหาสุขภาพ เทคโนโลยีสิทธิบัตรของ DFI จะเป็นมิติใหม่ในการสร้างกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับผลิตภัณฑ์ซึ่งผู้บริโภคให้การยอมรับอย่างแพร่หลายอยู่แล้ว นอกจากนั้น การร่วมมือกันครั้งนี้ยังมีการพัฒนาวัตถุดิบซึ่งสามารถลดการใช้ยาปฏิชีวนะในอาหารสัตว์ และสารเคมีที่หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้
ในปี 2558 ที่ผ่านมา อัตราการบริโภคอีริทริทอลทั่วโลกอยู่ที่ 65,000 ตัน โดยคาดว่ามีอัตราการเติบโต 7-8% ต่อปี ขณะที่การบริโภคไซลีทอลทั่วโลกอยู่ที่ 250,000 ตัน โดยคาดว่ามีอัตราการเติบโต 8-9% ต่อปี
"การลงทุนครั้งนี้จะส่งผลให้กลุ่มมิตรผลสามารถขยายประเภทผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมสารให้ความหวานจากธรรมชาติ ซึ่งทั้งปลอดภัยต่อสุขภาพและมีรสชาติดีกว่าสารให้ความหวานแคลอรีต่ำที่มีอยู่ในปัจจุบัน และยังเป็นการนำเทคโนโลยีระดับโลกมาใช้ต่อยอดอุตสาหกรรมการผลิตอาหารของไทยที่ฟู๊ดอินโนโพลีส นับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากพืชผลการเกษตรอันอุดมสมบูรณ์ของไทยในยุคที่เรากำลังเดินหน้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 ด้วยโมเดลเศรษฐกิจที่มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่ม" นายกฤษฎากล่าว