กรุงเทพฯ--29 ก.ย.--พีอาร์ดีดี
นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ บริษัทฯ ได้เปิดซื้อขายกองทุนใหม่ 2 กอง ซึ่งเกิดขึ้นจากการควบกองทุนจำนวน 11 กองทุน ภายหลังได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ไทยอิควิตี้ (SCBTEQ) มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ เฟล็กซิเบิ้ล (SCBFLX) มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท
โดยกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ไทยอิควิตี้ (SCBTEQ) มาจากการควบกองทุนจำนวน 8 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์มั่นคง กองทุนเปิดไทยพาณิชย์มั่นคง 2,3,4,5 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ทวีทรัพย์ 2,3 มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจ ปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคง โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารแห่งหนี้ ตราสารทางการเงิน เงินฝาก ตลอดจนทรัพย์สินอื่น เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) กองทุนรวมโครงสร้าง พื้นฐาน กองทุนอีทีเอฟ (ETF) เป็นต้น
ส่วนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ เฟล็กซิเบิ้ล (SCBFLX) เป็นกองทุนรวมผสม มาจากการควบ 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดปฐมไทยพาณิชย์ เฟล็กซิเบิ้ล กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ปฐมก้าวหน้า เฟล็กซิเบิ้ล และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ทริกเกอร์ 7% ฟันด์ 4 มีนโยบายกระจายการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน เงินฝากหน่วยลงทุนของกองทุน เช่น กองทุนรวมทองคำกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) กองทุนรวม โครงสร้างพื้นฐาน กองทุนอีทีเอฟ (ETF)เป็นต้น โดยกองทุนจะพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนได้ ตั้งแต่ร้อยละ 0 ถึงร้อยละ 100 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ซึ่งสัดส่วนการลงทุน ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนและตามความเหมาะสมกับสภาวการณ์ในแต่ละขณะ
นอกจากนี้ยังได้รวมกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีน THB เฮ็ดจ์ 2 (SCBCEH2) เข้ากับกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีน THB เฮ็ดจ์ (SCBCEH) ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 50,000 ล้านบาท โดยกองทุน SCBCEH มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Hang Seng H-Share Index ETF (กองทุนหลัก) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง ขณะที่กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนกองทุนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายทั้งหมดของกองทุนให้ใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากับผลตอบแทนจากการลงทุนในดัชนี Hang Seng China Enterprises Index (H-Share Index) และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ
"การควบรวมกองทุนทั้งกลุ่มกองทุนหุ้น กองผสม กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ จะส่งผลดีต่อผู้ถือหน่วยเดิมเนื่องจากกองทุนส่วนใหญ่มีนโยบายการลงทุนคล้ายกัน ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุนดีขึ้นและยังลดค่าใช้จ่ายของกองทุนทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับประโยชน์สูงสุด" นายสมิทธ์ กล่าว