กรุงเทพฯ--9 ส.ค.--บัวนา วิสต้า อินเตอร์เนชั่นแนล
จงเชื่อสัญชาตญาณของคุณ...ถึงแม้มันจะไม่ใช่สัญชาตญาณมนุษย์ก็ตาม
ในไม่ช้า มาร์วิน แมนจ์ (ร็อบ ชไนเดอร์ จาก Deuce Bigalow: Male Gigolo) ก็จะมีความแข็งแกร่งแบบสิงโตภูเขา มีความว่องไวแบบลิงชิมแปนซี และความน่ารักแบบ...แพะ งั้นเหรอ ?? ชีวิตของเขากำลังจะกลายเป็นสวนสัตว์ย่อมๆ ต้องขอบคุณการทดลองสุดแสนประหลาดที่ทำให้มาร์วินได้ก้าวสู่ชีวิตที่แสนโลดโผน
มาร์วิน ซึ่งทำงานเป็นเสมียนแผนกเก็บหลักฐานของกรมตำรวจ ฝันอยากจะเป็นสุดยอดตำรวจแบบพ่อของเขา ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือ ผ่านการทดสอบความแข็งแกร่งทางร่างกายให้ได้
คืนหนึ่ง ขณะที่มาร์วินเข้าเวรอยู่เพียงลำพัง เขาได้รับสายเหตุด่วนเหตุร้าย 911 กำลังมีการปล้นเกิดขึ้น และไม่มีใครที่จะช่วยได้ มาร์วินจึงเร่งรุดไปยังที่เกิดเหตุ คนร้ายหนีไปได้ ส่วนมาร์วินก็ลงเอยด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำร้ายแรง เมื่อมีเงามืดของใครบางคนดึงเขาออกมาจากซากรถ มาร์วินไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังจะกลายเป็นหนูทดลองในการผ่าตัดที่ประหลาดที่สุด ดร.ไวลเดอร์ (ไมเคิล เคตั้น จาก The Castle) ผู้ช่วยเหลือมาร์วินเอาไว้ได้ทำการดัดแปลงรหัสทางพันธุกรรม ภายในห้องแล็บส่วนตัวของเขา ดร.ไวลเดอร์รักษามาร์วินด้วยการใส่อวัยวะของสัตว์ให้กับเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึงชิ้นส่วนจากสิงโตทะเล และสุนัขแสนรู้ด้วย
เมื่อกลับมาทำงานที่สถานีตำรวจอีกครั้ง มาร์วินจำตอนที่เขาถูกดร.ไวลเดอร์ผ่าตัดไม่ได้ เขาเชื่อว่าที่ร่างกายเขาแข็งแรงขึ้น กล้ามเป็นมัด จมูกไวขึ้น ก็เพราะเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อใหม่ เมื่อดูภายนอก มาร์วินก็เหมือนคนปกติ แต่ภายใน เขาไม่รู้เลยว่าพฤติกรรมแบบสัตว์กำลังก่อกำเนิดเมื่อเขาผจญภัยอยู่ในป่าคอนกรีต
หลังจากใช้จมูกดมกลิ่นจนทำให้จับคนขนยาเสพย์ติดที่สนามบินได้ มาร์วินจึงกลายเป็นฮีโร่ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตำรวจสมใจด้วยฝีมือของสารวัตรวิลสัน (เอ็ดเวิร์ด แอสเนอร์ จาก The Bachelor) แต่ก็อยู่ภายใต้การจับตามองด้วยความสงสัยของเจ้านายของเขา จ่าดั๊ก ซิสก์ (จอห์น ซี แม็คกินลีย์ จาก Any Given Sunday)
ชีวิตเริ่มยุ่งยากซับซ้อนขึ้นเมื่อมาร์วินได้พบและตกหลุมรักไรแอนน่า (คอลลีน แฮสเกลล์ จาก Survivor) อดีตสาวรักต้นไม้ที่ตอนนี้กลายเป็นอาสาสมัครดูแลสัตว์อยู่ เมื่อวิญญาณสิงโตภูเขาของมาร์วินแสดงตัว ทุกอย่างก็เริ่มยุ่งเหยิง ไม่เพียงแค่ที่สถานเลี้ยงดูสัตว์เท่านั้น แต่ที่ร้านขายเนื้อด้วย เมื่อบรรดาสัตว์ภายในตัวเขาเริ่มออกมายึดอำนาจ โลกของมาร์วินก็ยิ่งคาดเดาไม่ได้มากขึ้น
รีโวลูชั่นสตูดิโอ ภูมิใจเสนอ The Animal ผลงานการสร้างของแฮ็ปปี้ เมดิสัน จากการจัดจำหน่ายของโคลัมเบีย พิคเจอร์ส The Animal นำแสดงโดยร็อบ ชไนเดอร์, คอลลีน แฮสเกลล์ ซึ่งแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานทางจอเงินเรื่องแรก และจอห์น ซี แม็คกินลีย์ นักแสดงคนอื่นๆ ก็คือ กาย ทอร์รี่, หลุยส์ ลอมบาร์ดี้ และเอ็ดเวิร์ด แอสเนอร์ ลุค กรีนฟิลด์กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้จากบทภาพยนตร์ของทอม แบร็ดดี้ และร็อบ ชไนเดอร์ จากเรื่องที่ทอม แบร็ดดี้แต่งขึ้นมา อดัม แซนด์เลอร์ และแจ็ค เกียร์ราปูโต้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร แบร์รี่ เบอรนาร์ดี้, คาร์ ดีแอนเจโล และท็อดด์ การ์เนอร์ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้าง และทอม แบร็ดดี้ และจอห์น ชไนเดอร์คือผู้อำนวยการสร้างร่วม ปีเตอร์ ไลออน์ส คอลลิสเตอร์ทำหน้าที่ผู้กำกับภาพ อลัน อูทำหน้าที่โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ และเจฟฟ์ กาวร์สัน และเพ็ค ไพรเออร์ทำหน้าที่ตัดต่อ จิม ลาปิดัสทำหน้าที่ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล ดิลเบ็คทำหน้าที่มิวสิคซูเปอร์ไวเซอร์ ผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบคือ เท็ดดี้ แคสเทลลุคซี่
The Animal เป็นภาพยนตร์เรต PG13 จากการจัดเรตโดย MPAA เนื่องจากมีความรุนแรงและอารมณ์ขันทะลึ่งตึงตัง
เกี่ยวกับงานสร้าง
"เราหัวเราะท้องคัดท้องแข็งตอนเราเขียนบทเรื่องนี้ขึ้นมา" ร็อบ ชไนเดอร์ ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกับทอม แบร็ดดี้ กล่าวด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม The Animal คือบทภาพยนตร์เรื่องแรกของแบร็ดดี้ที่มีคนหยิบนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องยาว โดยก่อนหน้านี้ แบร็ดดี้เคยเขียนบทและอำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ทีวี อย่างเรื่อง The Simpsons และ Home Improvement แบร็ดดี้ได้รู้จักกับชไนเดอร์ขณะที่ทำหน้าที่อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง Men Behaving Badly ให้กับ NBC และหลังจากนั้น ทั้งคู่ก็เริ่มต้นคิดหาไอเดียที่จะสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วยกัน
นอกเหนือจะทำหน้าที่ในการเขียนบทแล้ว ชไนเดอร์ยังมารับบทเป็นมาร์วิน แมนจ์ หนุ่มทึ่มที่กลายมาเป็นสัตว์ด้วย "ผมรู้สึกเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยเรียนรู้มา ตั้งแต่การเป็นตลกหน้าม่านไปจนถึงตอนทำงานให้กับรายการ SNL และได้ร่วมงานกับอดัม แซนด์เลอร์ในภาพยนตร์ของเขา ล้วนแต่ถูกนำมาใส่เอาไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว การร่วมงานกับแซนด์เลอร์ใน Deuce ออกมาดีมาก เราจึงตัดสินใจที่จะเดินหน้าทำงานด้วยกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ แทนที่จะจับเรื่องราวของลูกค้าของหนุ่มขายตัวที่ต่างไปจากภาคแรก เรากลับใส่บทสัตว์ที่ต่างออกไปเข้าไปแทน"
"นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ชายที่พยายามจะไม่เป็นสัตว์ และเขาก็ต้องพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้" ชไนเดอร์กล่าวต่อ "เขาคือผู้ชายที่พยายามรักษาความเป็นมนุษย์ของเขาเอาไว้ แต่เขามีอวัยวะของสัตว์ที่กำลังจะเป็นฝ่ายชนะ"
ชไนเดอร์ ผู้ที่ทั้งแสดงนำและร่วมเขียนบทให้กับภาพยนตร์เรื่อง Deuce Bigalow: Male Gigolo และยังรับบทนำในภาพยนตร์ซิทคอมทางทีวีเรื่อง Men Behaving Badly อยู่สองปี ยกความดีความชอบที่เขาสามารถแสดงภาพยนตร์ตลกได้ให้กับครอบครัวของเขา "เราไม่เคยมีอัลบัมเพลงหรอกนะ เรามีแต่อัลบัมตลก" ชไนเดอร์กล่าว "แล้วเราก็ไปดูแต่ภาพยนตร์ตลก ผมชอบเรื่อง Blazing Saddles มาก ผมชอบปีเตอร์ เซลเลอร์ส ผู้เป็นดาราตลกท่าทางที่น่าทึ่งจริงๆ Monty Python ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเรื่องตลกของศตวรรษที่ 20 มีอิทธิพลกับผมมากทีเดียว"
"ร็อบเป็นคนที่น่าทึ่ง" ผู้กำกับลุค กรีนฟิลด์บอก "ร็อบทุ่มเททั้งแรงกายและแรงสมองให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ถ้าคุณลองเอากล้องไปจับภาพเขาไม่ว่าจะเป็นที่ไหน หรือเมื่อไหร่ เป็นต้องได้ฮากันตลอด แค่ตามเขาไปรอบๆ คุณก็แทบจะได้ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งแล้ว ผมโชคดีมากที่ได้ร่วมงานกับร็อบในงานกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของผม"
กรีนฟิลด์ยังยุ่งอยู่กับการตัดต่อภาพยนตร์สั้นอยู่เลยเมื่อผลงานของเขาถูกส่งไปถึงมือผู้บริหารของรีโวลูชั่นสตูดิโอ ก่อนหน้าที่กรีนฟิลด์จะรู้ เขาได้เซ็นสัญญากำกับภาพยนตร์เรื่อง The Animal และเริ่มออกตระเวณหาโลเกชั่นแล้ว "นี่ช่างเหมือนกับฝันจริงๆ" กรีนฟิลด์กล่าว "มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมไม่มีเวลาบอกทุกคนด้วยซ้ำ ผมไม่มีเวลาแม้แต่จะโทรหาเพื่อนๆ จู่ๆ ผมก็อยู่ระหว่างการเตรียมงานสร้าง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ มันมีความท้าทายที่เป็นไปได้ทุกๆ ด้าน สัตว์อย่างตัวแบ็ดเจอร์ และสิงโตภูเขา เด็กๆ และน้ำ และฉากที่ต้องถ่ายทำกลางแจ้งตอนกลางคืน แต่ผมมีกองทัพฝีมือดีเป็นกองกำลังเสริมอยู่แล้ว"
หนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของกรีนฟิลด์เมื่ออยู่ในกองถ่ายก็คือ การพยายามกลั้นหัวเราะ "ฉากที่ร็อบแสดงกับแพะตลกมากเลย ทุกคนเป็นต้องหันหน้าหนีไปทางอื่นเพราะมันยากที่จะไม่หัวเราะออกมา" กรีนฟิลด์เล่าด้วยรอยยิ้ม "แล้วก็มีฉากที่ดร.ไวลเดอร์จะต้องเอากรวยวางไว้บนศีรษะของร็อบ ไมเคิล เคตั้น ซึ่งแสดงเป็นไวลเดอร์ต้องรีบหันหลัง แล้วเริ่มหัวเราะในขณะที่ร็อบต้องรับมือแสดงฉากนั้นต่อไป เรายังถ่ายทำฉากหนึ่งที่ร็อบกับคอลลีนต้องอยู่ด้วยกัน ซึ่งผมต้องเดินหนีไปเลย ผมดูจนจบเทกไม่ได้ จนต้องให้คนอื่นสั่ง 'คัต' แทนผม"
กับภาพยนตร์เรื่อง The Animal ก็คงไม่ต่างจากสิ่งที่เขาเคยทำในภาพยนตร์เรื่อง Deuce Bigalow ที่ชไนเดอร์ต้องแบ่งภาคด้วยการทำงานเป็นทั้งดารานำและร่วมเขียนบทด้วย "ตอนที่ผมกำลังเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ ผมไม่ได้คิดที่จะแสดงเองเลย เพราะมันมีรูปแบบศิลปะที่แตกต่างกันอยู่สองแบบ" ชไนเดอร์อธิบาย "จากนั้นพอคุณเขียนออกมาแล้ว คุณรู้สึกว่า 'ว่าไงนะ ผมต้องโดนลิงอุรังอุตังรัดคอเหรอ'"
ชไนเดอร์ ที่เคยแสดงบท เดอะริชมีสเตอร์ได้อย่างสนุกสนานในรายการ Saturday Night Live บอกว่าเขาชอบมากที่ได้มาแสดงเป็นตัวละครที่มีส่วนหนึ่งเป็นสัตว์ "ในฐานะนักแสดง มันสนุกมากเมื่อได้มาเล่นเป็นผู้ชายที่พยายามจะไม่เป็นสัตว์ แต่เป็นผู้ชายที่กำลังเล่นกับสัตว์"
ในบทมาร์วิน แมนจ์ที่ท่าทางเหมือนสุนัข ชไนเดอร์ต้องทำท่าทางเหมือนกับสุนัขตัวผู้ทุกอย่าง ซึ่งก็รวมถึงการยกขาฉี่ด้วย ถึงแม้ว่าชไนเดอร์ต้องเรียนรู้วิธีปีนขึ้นต้นไม้แบบลิง ว่ายน้ำแบบปลาโลมา วิ่งแบบเสือชีต้าห์ แต่คงไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะโหดเท่ากับการต้องเลียตัวเองให้เหมือนสุนัข ขาปลอมต้องถูกทำขึ้นมา แต่ร็อบก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการยืดหยุ่นตัว และการฝึกโยคะของเขาด้วยการยกขาจริงๆ ของเขาให้สูงมากพอที่จะถ่ายทำช็อตดังกล่าวนั้นได้ ชไนเดอร์หอนด้วยความเจ็บปวดหลังจากถูกบังคับให้ต้องใช้ขาปลอมอยู่เป็นเวลานาน เขาตื่นเต้นมากที่มีขาสำรองอยู่
คอลลีน แฮสเกล ที่เริ่มโด่งดังจากรายการทีวีอย่าง Survivor ก้าวเข้ามาแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกด้วยการประกบบทกับชไนเดอร์ในบท ไรแอนนา ผู้หญิงที่ดึงสัญชาตญาณความเป็นสัตว์ของมาร์วินออกมา
หลังจากพยายามที่จะช่วยต้นไม้ต้นหนึ่งด้วยการอาศัยอยู่กับมันเป็นเวลาหนึ่งปี ไรแอนนาได้พบกับมาร์วินในห้องน้ำชาย และต่อมาก็คือตอนที่เขาแสดงอาการแบบสุนัขออกมา "เธอเป็นคนใจดี และเธอก็ทำงานอยู่ที่สถานรับเลี้ยงสัตว์ที่โดนทอดทิ้ง" ชไนเดอร์อธิบาย "เธอมีความรู้สึกว่าผมเองมีลักษณะคล้ายกับสัตว์ที่เธอดูแลที่สถานรับเลี้ยง"
"คอลลีนมีความเป็นธรรมชาติอย่างมาก" ผู้กำกับลุค กรีนฟิลด์ ยอมรับว่าเขาไม่เคยดูรายการ Survivor เลยก่อนหน้าที่คอลลีนจะได้รับเลือกให้มาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ "เธอแสดงได้สมจริงมาก" กรีนฟิลด์ยังจำได้ดีถึงวันแรกๆ ที่แฮสเกลล์มาถึงที่กองถ่าย
"สำหรับเธอมันอาจดูน่ากลัวอยู่เหมือนกัน" กรีนฟิลด์กล่าวต่อ "ผมจำวันแรกที่เราอยู่ในคาลิสโตก้าได้ มันเป็นช็อตแรกที่เธอแสดง ผมเริ่มพูดกับเธอ แล้วเธอก็บอกผมว่า 'รู้ไหม ฉันไม่เข้าใจภาษาแบบนั้นหรอก ช่วยพูดกับฉันเหมือนฉันเป็นเด็กได้ไหม' ผมบอกเธอว่า 'งั้นช่วยพูดกับผมแบบนั้นเหมือนกันด้วยนะ เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมกำลังทำอะไรอยู่' เธอเป็นคนมีทัศนคติที่ดีที่สุด ผมคงไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้มากกว่านี้แล้ว"
แฮสเกลล์ ซึ่งเป็นชาวเบเธสด้า รัฐแมรี่แลนด์ บอกว่าเธอกำลังเก็บของและวางแผนการที่จะย้ายไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของอเมริกาพอดีเมื่อตอนที่เธอได้รับโทรศัพท์เรียกตัวให้ไปเทสต์หน้ากล้อง "ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก" แฮสเกลล์บอก "การทำงานกับร็อบเป็นสิ่งที่สนุกจริงๆ การได้มาทำงานกับภาพยนตร์เรื่องนี้โดยยังไม่เคยได้แสดงกับภาพยนตร์เรื่องอื่นใดมาก่อน เขาช่วยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นเยอะ ฉันอยากจะบอกเขาว่าเขาสอนฉันทุกอย่างที่ฉันรู้ ดังนั้น ถ้าฉันทำอะไรผิดพลาด มันก็เป็นความผิดของเขาแล้ว และถ้าฉันทำได้ดีล่ะก็ เขาก็ควรได้รับความดีความชอบนั้นไปด้วย"
"ทุกคนต่างตกหลุมรักคอลลีนระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้" ชไนเดอร์กล่าวชมกลับ "เธอเป็นขวัญใจพวกเราจริงๆ"
แฮสเกลล์ที่ในชีวิตจริงก็เป็นคนรักสัตว์เช่นกัน นั่นทำให้เธอรู้สึกสนุกอย่างมากเมื่อได้ทำงานกับสุนัขถึง 15 ตัวในกองถ่าย "ฉันคงอุ้มมันได้แค่ 2 ตัว แล้วก็จะเหลือสุนัขอีก 13 ตัวอยู่ที่กองถ่ายเมื่อฉันกลับบ้าน" แฮสเกลล์บอก "สุนัขไม่ใช่ว่าจะยอมทำตามที่เราอยากจะให้มันทำเสมอไปหรอกนะ แต่พวกมันน่ารักมาก จะให้ฉันไม่สนุกเวลาทำงานกับพวกมันได้ยังไงกัน" เมื่อได้รับการขอร้อง แฮสเกลล์ยังคงปฏิเสธไม่ยอมอุ้มร็อบ ชไนเดอร์ที่มีความเป็นสัตว์กลับบ้านซะที "ฉันคงต้องรับผิดชอบมากเกินไปสักหน่อย" แฮสเกลล์หัวเราะ
"ผมได้เจอเธอแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น" เอ็ด แอสเนอร์ เล่าถึงช่วงเวลาที่เขาได้พบกับแฮสเกลล์ในกองถ่ายหนัง The Animal ด้วยความเสียดาย
แอสเนอร์มารับบทเป็นสารวัตรมาเรียน วิลสัน "ผมต้องปรับตัวเองให้เข้ากับอารมณ์ขันของยุคสมัยใหม่ มันเป็นการปรับตัว แต่ผมก็ทำสำเร็จจนได้" แอสเนอร์ยังกล่าวต่อถึงลักษณะของภาพยนตร์ตลกในยุคปัจจุบันว่า "มันสร้างเสียงหัวเราะได้มากกว่าที่คนยุคผมเคยคุ้นมาก่อน แต่เราก็ยิ่งดูสมัยใหม่มากขึ้น สมัยนี้ชีวิตมันสนุกสนานซะเป็นส่วนใหญ่"
"ผมรู้สึกขันในสิ่งที่เอ็ดอยากจะทำมาก" ร็อบ ชไนเดอร์ให้ความเห็น "เขาเล่นเป็นหัวหน้าหน่วยวิลสัน ผู้ที่อาจจะไม่ค่อยมีงานให้ทำมากนักที่สถานีตำรวจในเมืองเล็กๆ แบบนี้ปีแล้วปีเล่า แล้วเขาก็เริ่มที่จะรู้สึกเบื่อๆ เหมือนกัน นี่เป็นคดีใหญ่สำหรับเขา ดังนั้นเขาจึงตามมันติด เราจะเห็นเขาเป็นตัวละครที่มีการหักมุมตลอด ซึ่งก็สนุกดี แล้วเขาก็มีจังหวะในการปล่อยมุขที่เป็นธรรมชาติ เขาดูสนุกสนานมากกับการแสดงของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้"
"เอ็ด แอสเนอร์คือฮีโร่ของแม่ผม" ผู้กำกับลุค กรีนฟิลด์ บอกพร้อมเสียงหัวเราะ "เขาเป็นผู้ชายที่มีสปิริต และเป็นคนดีมาก เราค่อนข้างจะคุ้นเคยกับตัวละครของเขาอยู่แล้ว (ลู แกรนต์) แต่กับภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาได้สร้างสรรค์ผลงานที่สุดยอดด้วยการเล่นเป็นหัวหน้าทีมตำรวจที่สุดแสนประหลาด เขาร่าเริงมาก เมื่อตอนที่ผมนำภาพจากกองถ่ายให้ไปพ่อแม่ผมดู พวกท่านยังแทบไม่เชื่อเลยว่าเอ็ดจะมาเล่นบทแบบนี้"
แอสเนอร์กล่าวถึงการทำงานร่วมกับร็อบ ชไนเดอร์ว่า "เขาปฏิบัติต่อผมราวกับเป็นสุภาพบุรุษ และผมก็ปฏิบัติต่อเขาราวกับราชา ไม่มีทางที่เราจะทิ้งมิตรภาพของเราไปได้"
นักแสดงชาวออสเตรเลีย ไมเคิล เคตั้นมารับบทเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง ดร. ไวลเดอร์ ผู้ชายที่ช่วยชีวิตมาร์วินเอาไว้ด้วยการผ่าตัดใส่อวัยวะสัตว์ให้กับเขา มาร์วินไม่เพียงแต่จะกลายเป็นผลงานความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นเหมือนกับสัตว์เลี้ยงของเขาด้วย
"หลังจากผ่านการผ่าตัดแล้ว บรรดาสุนัขที่เคยขู่ใส่เขาต่างพากันกลัวเขา" เคตั้นเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ "จากผู้ชายซื่อๆ ท่าทางปวกเปียกที่ฝันอยากจะเป็นตำรวจ ก็กลายมาเป็นซูเปอร์ตำรวจขึ้นมาจริงๆ"
เคตั้นที่ก่อนหน้านี้เคยแสดงภาพยนตร์ในออสเตรเลียมาแล้วหลายเรื่อง บอกว่า "ภาพยนตร์ตลกของเราส่วนมากจะเป็นภาพยนตร์ตลกพื้นๆ ง่ายๆ เราชื่นชอบฮีโร่อย่างแอ็บบ็อตต์และคอสเตลโล่ และเจอร์รี่ ลูอิส ตอนที่ร็อบ ชไนเดอร์ติดต่อมาถึงผม แล้วผมได้อ่านสคริปต์ ผมเกิดความคิดว่า 'ว้าว นี่คือโอกาสที่ผมจะได้เดินออกจากกะลา และเป็นแบบเหล่าฮีโร่ของผมซะที' บทที่ผมเล่นก็คือบทที่มีความเป็นปีเตอร์ เซลเลอร์ส เขาเป็นฮีโร่ของผมอีกรายหนึ่ง และมันก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีเพราะในออสเตรเลีย ผมคงไม่มีโอกาสเล่นบทแบบนี้แน่"
ร็อบ ชไนเดอร์กับอดัม แซนด์เลอร์ได้เห็นเคตั้นในภาพยนตร์เรื่อง The Castle และได้ติดต่อไปหาตัวแทนของเขาในซิดนีย์ "พวกเขาบอกให้ผมส่งเทปออดิชั่นบทไป" เคตั้นเล่า "ลูกชายผมเพิ่งจบจากโรงเรียนการละคร ดังนั้น ผมจึงตั้งกล้องดิจิตอลในห้องนอนของเรา แล้วเราก็ถ่ายเทปนั้นด้วยตัวเอง โดยใช้ผ้าบาติกแขวนเอาไว้กับราวตากผ้าเพื่อเป็นฉาก จากนั้น เพราะมีการจัดงานโอลิมปิคที่นั่นพอดี เราจึงมุ่งหน้าไปที่โมร็อคโค ผมอยู่ในแทนเกียร์ แล้วร็อบก็โทรศัพท์เข้ามาถามผมว่า 'คุณจะมาแสดงภาพยนตร์ของเราไหม' ผมตอบไปว่า 'มีเหรอจะไม่แสดง' ผมเดินลงไปชั้นล่าง และพูดว่า 'พ่อคว้าบทนั้นมาได้แล้วลูก ไชโย' ผมไม่เคยทำงานกับทีมงานอเมริกันมาก่อนเลย และมันก็เป็นประสบการณ์ที่ผมมีความสุขมาก"
หลุยส์ ลอมบาร์ดี้ จากภาพยนตร์ซีรีส์ทางจอโทรทัศน์ที่คว้ารางวัลมาแล้วมากมายอย่าง The Sopranos มารับบทเป็น แฟ็ตตี้ เพื่อนคนหนึ่งของมาร์วินที่สถานีตำรวจ ลอมบาร์ดี้พูดถึงตัวละครของเขาว่า "เขาเป็นผู้ชายเซ่อซ่าส์ที่สนุกสนาน" ลอมบาร์ดี้ยังพูดต่ออีกว่าเขาสนุกสนานอย่างมากกับประสบการณ์ที่เขาได้รับในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง The Animal "มันทั้งแปลกใหม่และมีชีวิตชีวา พวกเขาเปิดโอกาสให้เราเล่นได้อย่างเต็มที่ เมื่อคุณได้ทำงานกับคนอย่างร็อบ มันเหมือนกับช่วยขัดเกลาคุณ แล้วทำให้คุณเล่นได้ตลกมากขึ้น"
จอห์น ซี แม็คกินลีย์ ซึ่งมีผลงานภาพยนตร์มาแล้วมากกว่า 50 เรื่อง ซึ่งก็รวมทั้งภาพยนตร์ของผู้กำกับโอลิเวอร์ สโตนเรื่อง Platoon พลิกผันมาเล่นบทตลกด้วยการแสดงเป็นจ่าดั๊ก ซิสก์ ตำรวจที่หวังจะทำลายมาร์วิน เขาเคยเป็นเจ้านาย(ยังมีต่อ)
-อน-