กรุงเทพฯ--12 ต.ค.--กลุ่มสารนิเทศการคลัง กระทรวงการคลัง
นายชูฉัตร ประมูลผล รองเลขาธิการ ด้านตรวจสอบ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่าปัจจุบันช่องทางการขายประกันภัยผ่านธนาคารได้รับความนิยมจากประชาชน ผู้เอาประกันภัยสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายประกันชีวิต ดังจะเห็นได้จากตัวเลข ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2559 จำนวนเบี้ยประกันชีวิตรับรวมผ่านช่องทางธนาคาร มีจำนวนทั้งสิ้น 123,418 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง ร้อยละ 45.36 ของการขายประกันชีวิตรวมทุกช่องทาง โดยขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 6.7 ในขณะที่จำนวนเบี้ยประกันวินาศภัยรับรวมผ่านช่องทางธนาคารมีจำนวนทั้งสิ้น 12,337 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.78 ของการขายประกันวินาศภัยรวมทุกช่องทาง ขยายตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 4.16
สำนักงาน คปภ. ตระหนักถึงความสำคัญของการซื้อประกันภัยของประชาชนผ่านช่องทางธนาคารซึ่งมีแนวโน้มเติบโตขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดจากการทำประกันภัย รวมถึงเพื่อกระตุ้นเตือนให้ธนาคาร ในฐานะนายหน้าประกันภัยได้ตระหนักถึงความสำคัญในการติดตามตรวจสอบคุณภาพการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยของพนักงานธนาคาร สำนักงาน คปภ. นำโดยนายชูฉัตร ประมูลผล รองเลขาธิการ ด้านตรวจสอบ จึงได้ประชุมหารือร่วมกับสมาคมธนาคารไทยนำโดยนายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เพื่อกำหนดกรอบแนวทางการกำกับและควบคุมคุณภาพการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยผ่านธนาคาร ทั้งนี้ จากการหารือ สมาคมธนาคารไทยได้แจ้งแนวทางปฏิบัติร่วมกันของภาคธนาคารเพื่อปรับปรุงคุณภาพการขาย โดยจะมีการแยกพื้นที่การเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยออกจากเคาน์เตอร์รับฝากเงิน และมีป้ายบอกอย่างชัดเจน รวมถึงการใช้กระบวนการในการกำกับและตรวจสอบคุณภาพการขายประกันภัยของธนาคาร ทั้งกระบวนการก่อน ระหว่างและหลังการขาย ซึ่งจะมีการนำเอาวิธีการสุ่มตรวจ (Mystery Shopping) มาใช้ อีกทั้งจะมีการจัดทำคู่มือประกอบการขาย และจัดอบรมความรู้เพื่อสร้างมาตรฐานการขายที่เป็นสากล สามารถยึดปฏิบัติได้เหมือนกันทุกธนาคาร นอกจากนี้สำนักงาน คปภ. ยังได้จัดทำข้อแนะนำ 12 ประการ แก่ประชาชนในการซื้อประกันภัยผ่านธนาคารเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขายประกันภัย โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
ก่อนซื้อ: ผู้ซื้อต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการซื้อประกันชีวิต ไม่ใช่การฝากเงินกับธนาคาร และมีสิทธิเลือกซื้อประกันภัยด้วยความสมัครใจ สามารถปฏิเสธได้หากไม่เป็นไปตามความต้องการ ซึ่งธนาคารเองก็ไม่อาจใช้การทำประกันภัยเป็นเงื่อนไขต่อรองในการให้สินเชื่อหรือธุรกรรมอื่นได้ และที่สำคัญต้องขอดูใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันภัยของพนักงานธนาคารก่อนซื้อทุกครั้ง
ระหว่างซื้อ: ผู้ซื้อควรเลือกแบบประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองตรงกับความต้องการมากที่สุด และควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อยกเว้นของกรมธรรม์นั้นๆ หากไม่เข้าใจ ต้องสอบถามจากผู้ขายให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจซื้อ อีกทั้งยังควรประมาณการรายรับ-รายจ่าย เพื่อให้สามารถจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยได้ครบตลอดระยะเวลาของสัญญาประกันภัย และควรกรอกใบคำขอเอาประกันภัยด้วยตนเองตามความเป็นจริง
หลังซื้อ: ผู้ซื้อต้องชำระเงินค่าเบี้ยประกันภัยเข้าบัญชีบริษัทประกันภัยเท่านั้น และจะต้องได้รับเอกสารการรับชำระเงินจากธนาคาร พร้อมเก็บไว้เป็นหลักฐาน และเมื่อได้รับกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว ควรตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยว่าถูกต้องและเป็นไปตามการเสนอขายหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามที่เสนอขาย สามารถยกเลิกได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย กรณีเกิดข้อสงสัยหรือข้อผิดพลาดในกรมธรรม์ ให้ติดต่อผู้ขายหรือบริษัทประกันภัยโดยเร็ว
"ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. ได้มีดำริในการบูรณาการความร่วมมือกับภาคธนาคารเพื่อยกระดับมาตรฐาน และควบคุมคุณภาพการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยผ่านธนาคาร รวมถึงให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน เพราะจากข้อมูลข้อเรียนเรื่องการซื้อประกันภัยผ่านธนาคาร พบว่ากว่าครึ่งเกิดจากความเข้าใจของลูกค้าที่คลาดเคลื่อน ดังนั้น เพื่อสร้างวัฒนธรรมการขายประกันภัยผ่านธนาคารที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ประชาชนต้องมีความเข้าใจว่าการทำประกันชีวิตไม่ใช่การฝากเงินกับธนาคาร รวมถึงต้องเข้าใจสิทธิของตนเองว่าสามารถเลือกที่จะซื้อหรือไม่ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยจากธนาคาร ก็ได้ และธนาคารเองก็ไม่อาจใช้การทำประกันภัยเป็นเงื่อนไขต่อรองในการให้สินเชื่อ หรือธุรกรรมอื่น ซึ่งหากทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมีความเข้าใจที่ตรงกันแล้ว ก็จะช่วยให้ข้อขัดแย้งต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตลดลง ทั้งนี้ หากมีขอสงสัยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน คปภ.1186 หรือ www.oic.or.th" รองเลขาธิการ คปภ. กล่าว