กรุงเทพฯ--13 ต.ค.--แบรนด์ เวลท์
บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SQ ผู้รับเหมางานเหมืองครบวงจรรายแรกของไทย โดยครอบคลุมถึง การวางแผนงานในเหมือง การปฏิบัติงานเปิดหน้าเหมือง การให้คำปรึกษาด้านงานเหมือง และการให้เช่าและซ่อมบำรุงเครื่องจักรขนาดใหญ่ ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการเหมืองถ่านหินแม่เมาะให้กับ EGAT กว่า 30 ปี เปิดจองซื้อหุ้นไอพีโอราคา 3.20 บาทต่อหุ้น โดยได้รับกระแสตอบรับจากนักลงทุนจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์จากนักลงทุนสถาบัน(Bookbuilding) มีความต้องการมากกว่าหุ้นที่ได้รับจัดสรรถึง 7 เท่า
นายศาศวัต ศิริสรรพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SQเปิดเผยถึงการนำบริษัทฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า "SQ จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง โดยธุรกิจหลักของบริษัทฯ คือการรับเหมางานเหมืองครบวงจร ปัจจุบันบริษัทฯ ดำเนินงานให้บริการงานขุด-ขนดิน และถ่านหิน จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการเหมืองแม่เมาะ โครงการ 7 โครงการเหมืองแม่เมาะ โครงการ 8 ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และโครงการเหมืองหงสา ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ให้กับบริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ณ สิ้นรอบบัญชีวันที่ 30 มิถุนายน 2559 บริษัทฯ มีปริมาณงานคงเหลือในมือจากทั้ง 3 โครงการรวม 36,442 ล้านบาท ซึ่งรองรับรายได้ที่จะรับรู้ในอนาคตถึง 10 ปี"
นายศาศวัต กล่าวต่อว่า "บริษัทฯ วางแผนระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) ให้กับนักลงทุน จำนวน 380 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นหุ้นใหม่ทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 3.20 บาท ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท บริษัทฯ จะได้เงินจากการระดมทุนในครั้งนี้ทั้งสิ้น 1,216 ล้านบาท โดยมีแผนนำเงินไปใช้ในการลงทุนซื้อเครื่องจักรสำหรับโครงการเหมืองแม่เมาะ โครงการที่ 8 เป็นจำนวนเงินประมาณ 850 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจประมาณ 366 ล้านบาท"
นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสาย Primary Distribution ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และตัวแทนบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการร่วมการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวเสริมว่า "ทางบล.ไทยพาณิชย์ จำกัด ขอขอบคุณ บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ให้ความไว้วางใจแต่งตั้ง บล.ไทยพาณิชย์ เป็นผู้จัดการร่วมการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SQ ดิฉันเชื่อมั่นว่าด้วยประสบการณ์การรับเหมางานเหมืองมากว่า 30 ปี อีกทั้งยังเป็นผู้ประกอบการรายเดียวในกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่รับเหมางานเหมืองเพียงอย่างเดียว ซึ่งงานแต่ละโครงการมีอายุสัญญาไม่น้อยกว่า 10 ปี ซึ่งจะให้ความมั่นใจได้ว่าบริษัทฯ มีรายได้สม่ำเสมอต่อเนื่องทุกปี ส่วนราคาหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายครั้งนี้อยู่ที่ 3.20 บาท ซึ่งได้การตอบรับจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์จากนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) สูงถึง 7 เท่าดิฉันเชื่อว่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SQ จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี"
ด้านนายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการร่วมการจัดหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวเพิ่มเติมว่า"บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ทาง SQ เลือกบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SQ ในครั้งนี้ ผลตอบรับจากการโรดโชว์ให้ข้อมูลแก่นักลงทุนสถาบัน และรายย่อย ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม นักลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจที่จะจองซื้อหุ้น SQ เพราะเห็นได้ว่าบริษัทฯ ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเฉพาะทาง คือรับเหมางานเหมืองเพียงอย่างเดียว ซึ่งธุรกิจนี้มีคู่แข่งน้อยราย อีกทั้งจำนวนแบ็กล็อกในมือมีกว่า 3 หมื่นล้านบาท อายุสัญญาแต่ละโครงการไม่น้อยกว่า 10 ปี นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังแสวงหาโอกาสที่จะเข้าร่วมประมูลงานโครงการใหม่ทั้งในและต่างประเทศ ผมมั่นใจว่าหุ้น SQ จะเป็นหุ้นที่ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวังอย่างแน่นอน."
ระยะเวลาจองซื้อวันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม และวันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2559 รวมระยะเวลาการจองซื้อ 3 วัน โดยมีอีก 3 บริษัทหลักทรัพย์ เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เคที ซิมิโก้ จำกัด
ทั้งนี้ บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจรับเหมางานเหมืองครบวงจร มีทุนจดทะเบียน1,150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาทต่อหุ้น เป็นหุ้นที่ชำระแล้ว 750 ล้านหุ้น โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 ตระกูล ได้แก่ ตระกูลศิริสรรพ์ และตระกูลอารีกุล ก่อนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ตระกูลศิริสรรพ์ ถือหุ้น 43.1% และตระกูลอารีกุล ถือหุ้น 28.1% ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ตระกูลศิริสรรพ์ จะถือหุ้น 28.1% และตระกูลอารีกุล จะถือหุ้น 18.3% ในขณะที่ผู้ถือหุ้น IPO จะถือหุ้น 33.6%