กรุงเทพฯ--14 ต.ค.--ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทีจีส์
หลายพื้นที่ทั่วทวีปเอเชียปีนี้ถูกกระหน่ำด้วยสภาพอากาศอันแปรปรวนจากพายุฤดูร้อนหลายครั้ง ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและเกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ สภาพอากาศอันแปรปรวนในฤดูฝนยังส่งผลต่อการขับรถอย่างมากอีกด้วย แม้แต่ผู้ขับที่มีประสบการณ์ ฝนที่ตกอย่างหนักสามารถเปลี่ยนการเดินทางที่แสนสบายให้กลายเป็นการเดินทางที่ตึงเครียดได้ในทันทีเนื่องจากผู้ขับจะมองถนนข้างหน้าได้ลำบากและยากต่อการควบคุมรถ
จากผลการสำรวจจากกระทรวงคมนาคมของประเทศสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นในวันฝนตกและเกือบหนึ่งในสี่ของอุบัติเหตุในประเทศสหรัฐอเมริกาเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป โดยร้อยละ 73 เกิดขึ้นบนถนนเปียก ร้อยละ 46เกิดขึ้นขณะฝนตก เพียงร้อยละ 17 เกิดขึ้นในช่วงหิมะหรือลูกเห็บตกและร้อยละ 13 เกิดขึ้นบนพื้นถนนที่มีน้ำแข็งปกคลุม สำหรับประเทศไทยจากรายงานของกรมขนส่งทางบก สถิติอุบัติเหตุจราจร ปีงบประมาณ 2559 (เดือนตุลาคม 2558 - กันยายน 2559) ได้รับแจ้งว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นถึง 75,476 ครั้ง โดยมักจะเกิดขึ้นในช่วงหน้าฝน
งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า เมื่อระดับน้ำฝนเพิ่มสูงขึ้นเลยตำแหน่งเครื่องหมายจราจรบนถนน ผู้ขับจะไม่สามารถเห็นเครื่องหมายจราจรบนพื้นถนนถึงแม้จะเป็นแบบสะท้อนแสงและเปิดไฟหน้ารถยนต์แล้วก็ตาม ผู้ขับส่วนใหญ่คิดว่าการขับรถขณะฝนตกเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่หารู้ไม่ว่าการขับรถในสภาพอากาศเลวร้ายไม่เพียงแต่ใช้สัญชาตญาณเท่านั้น แต่จำเป็นต้องใช้ทักษะการขับและมีความรู้เฉพาะที่แตกต่างจากการขับขี่บนท้องถนนปกติอีกด้วย
หากเป็นไปได้ พยายามหลีกเลี่ยงการขับรถในสภาพอากาศเลวร้ายและในวันฝนที่ตกหนัก แต่หากมีความจำเป็นต้องขับรถตอนสภาพอากาศแย่จริงๆ มาเช็คความรู้ของคุณกับเกร็ดความรู้เหล่านี้ก่อนขับ
ข้อแนะนำทั่วไปสำหรับการขับรถในสภาพอากาศเลวร้าย
ลดความเร็วลง
เราต่างรู้กันอยู่แล้วว่าเมื่อถนนเปียกพื้นถนนจะลื่นขึ้น และทำให้เราจำเป็นต้องลดความเร็วลง โดยความเร็วสูงสุดที่กำหนดไว้สำหรับถนนเส้นนั้น เป็นความเร็วที่ถูกกำหนดให้ใช้ได้ในสภาพถนนปกติเท่านั้น ไม่ควรใช้ความเร็วดังกล่าวเมื่อต้องขับรถบนพื้นถนนเปียก "ฝนเป็นสิ่งที่เตือนให้คุณลดความเร็วลงและเพิ่มความความระมัดระวังมากขึ้น" เคน เฮปเบิร์น ผู้ประสานงานด้านความปลอดภัยของผู้ขับและท้องถนน ณ สนามทดสอบยูยางของฟอร์ด ในประเทศออสเตรเลีย กล่าว
เพิ่มทัศนวิสัยระหว่างฝนตก
ฝนที่ตกอย่างฉับพลันส่งผลต่อทัศนวิสัยในการขับรถโดยตรง และทำให้การสังเกตสัญญาณจราจรตามท้องถนนยากขึ้น การมองไปข้างหน้าให้ไกลที่สุดเท่าที่เป็นไปได้จะทำให้คุณมีโอกาสดีที่สุดในการรับมือกับเหตุการณ์ใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นต่อไป "หนึ่งในทางที่ดีที่สุดคือการขับรถอยู่ในเลนที่ไม่มีรถข้างหน้าบังสายตา" เฮปเบิร์น กล่าว "อีกทางก็คือการขับตามรถคันข้างหน้า (ในระยะห่างที่ปลอดภัย) ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน เพื่อที่คุณจะสามารถมองเห็นรถคันข้างหน้า รวมถึงพื้นที่ด้านหน้าของรถคันหน้า อย่าขับตามรถบรรทุกคันใหญ่ๆ ที่บดบังทัศนวิสัยของคุณ" การเรียนรู้ที่จะใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ในรถของคุณ เป็นอีกทางที่จะสามารถช่วยคุณได้
สิ่งที่ต้องปฏิบัติเมื่อเจอผิวถนนที่ชำรุด
ระวังแอ่งน้ำบนถนน
แอ่งน้ำเล็กๆ อาจซ่อนหลุมขนาดใหญ่เอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นหากมีน้ำมากพอ ยางรถยนต์อาจไม่สามารถรีดน้ำออกได้ทันและส่งผลให้รถไม่เกาะถนน ที่ความเร็วหนึ่ง รถจะลอยตัวขึ้นจากพื้นและคุณจะขับรถอยู่บนผิวน้ำ "หากรถของคุณเริ่มลอยตัว พยายามลดความเร็วลงอย่างช้าๆ เบาๆ จนกระทั่งการควบคุมรถค่อยๆ กลับมา" เฮปเบิร์น กล่าว "หลีกเลี่ยงการหักเลี้ยวอย่างกะทันหัน การเบรกกะทันหัน หรือการเข้าโค้งเร็วเกินไป"
อย่าขับรถผ่านบริเวณน้ำท่วม
อย่าประมาทอันตรายของน้ำท่วม อย่าพยายามขับรถผ่านบริเวณน้ำท่วมในระดับที่คุณไม่สามารถเดินผ่านได้ และระวังจุดที่น้ำท่วมขังอยู่บนพื้นถนน เพราะใต้น้ำท่วมขังอาจไม่มีพื้นถนนอยู่ น้ำท่วมอาจพัดเอาพื้นถนนออกไปทั้งหมด รวมถึงพื้นถนนจำนวนมาก และหากน้ำเข้าไปยังวาล์วไอดีและเครื่องยนต์ รถอาจจะดับและคุณจะติดอยู่ในรถ
ให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษกับถนนที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกและถนนบนภูเขา
ระมัดระวังเป็นพิเศษกับเศษซากต่างๆ บนพื้นถนน เช่น ก้อนหิน ที่อาจถูกทำให้เคลื่อนที่โดยสายฝน ซึ่งถนนที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกจะทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้น โดยถนนจะถูกกัดเซาะและทำให้เปลี่ยนสภาพไป จนอาจทำให้เกิดการเคลื่อนที่หรือสไลด์ของหน้าดิน เฮปเบิร์น กล่าวว่า "อย่าขับรถชิดขอบถนนที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรก หรือถนนประเภทลูกรังในขณะถนนเปียก เนื่องจากพื้นถนนจะอ่อนตัว เกิดการไหลของน้ำและการกัดเซาะ ใส่ใจและให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษกับการขึ้นลงเนินเขา เนื่องจากระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบบังคับเลี้ยว และระบบเบรกของรถอาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพบนพื้นถนนลื่น"
เตรียมตัวรับมือกับสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็น
อันตรายบนท้องถนนไม่เพียงมีสาเหตุจากธรรมชาติอย่างเช่น ก้อนหินและกิ่งไม้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนเดินเท้าทั่วไป สัตว์ต่างๆ รวมถึงรถที่ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน "เพื่อหลีกเลี่ยงกับสิ่งเหล่านั้น คุณต้องขับรถให้ช้าพอเพื่อที่จะสามารถสังเกตและมีปฏิกิริยาตอบโต้ได้ทันทีจนสามารถหยุดรถได้สนิท ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้น"
เฮปเบิร์น กล่าว"หลักการทั่วๆ ไปคือระยะห่างจากสิ่งที่เห็นไม่ควรน้อยกว่าสี่เท่าของระยะหยุดรถของคุณ"
แม้ว่าคุณจะทำตามข้อแนะนำนี้ทุกข้อแล้ว แต่ในบางสถานการณ์อาจเกิดเหตุไม่คาดคิดภายใต้ทัศนวิสัยย่ำแย่ ทำให้คุณมีเวลาเตรียมตัวรับมือเพียงน้อยนิด ทั้งนี้ รถยนต์สมัยใหม่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ช่วยให้คุณสามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายหรือตามการขับขี่ปกติ อย่างฟอร์ดหลายๆรุ่น (ฟอร์ด เรนเจอร์ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ฟอร์ด โฟกัส ฟอร์ด เอคโค่สปอร์ตและฟอร์ด เฟียสต้า) ที่ติดตั้งด้วยระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program หรือ ESP) ระบบที่ประกอบด้วยเซ็นเซอร์ที่จะวัดความเคลื่อนไหวของรถยนต์ในแนวราบด้วยอัตรา 100 ครั้งต่อวินาทีเป็นอย่างต่ำ "ในกรณีฉุกเฉิน ระบบสามารถปรับเบรกและปรับกำลังของเครื่องยนต์อย่างเหมาะสมเพื่อช่วยรักษาสมดุลของรถ" เฮปเบิร์น กล่าว "ก่อนที่ผู้ขับจะรู้ตัวว่าพวกเขาจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือเสียอีก"
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักขับที่มีประสบการณ์มากแค่ไหน การขับรถในสภาพอากาศที่เลวร้ายบนพื้นถนนเปียก เป็นช่วงเวลาที่คุณต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษและมีความอดทน การสร้างเกราะป้องกันตัวเองด้วยความรู้ที่เพียงพอ ตลอดจนเรียนรู้เทคนิคต่างๆ จะช่วยให้คุณรับมือกับเหตุการณ์เหล่านั้นได้ดีขึ้น และเป็นผู้ขับที่มีความรับผิดชอบและคำนึงถึงปลอดภัยมากยิ่งขึ้น