กรุงเทพฯ--17 ต.ค.--บล.เอเชีย เวลท์
บล.เอเชีย เวลท์ คาดตลาดหุ้นยังคงผันผวนจากมุมมองตลาดว่า Federal Reserve มีโอกาสสูงที่จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ด้านปัจจัยในประเทศยังคงต้องรอดูสถานการณ์ของประเทศ ปฏิกริยาการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนกลุ่มต่างๆ กันต่อไป และต้องติดตามตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 3 คาดSET Index แกว่งตัวในกรอบวันนี้ 1,469-1,489 จุด ทั้งนี้ SET Index ยังเพิ่งเกิดมี Falling gap และ Rising gapที่มีช่วงกว้างพอสมควรซึ่งชี้ให้เห็นถึงความไม่แน่ใจของนักลงทุนในระยะนี้ สำหรับสัปดาห์นี้ เราแนะนำนักลงทุน ซื้อERW ราคาเป้าหมาย 5.50 บาท
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้จะยังคงผันผวน จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีคือ ยอดค้าปลีกและตัวเลขเงินเฟ้อด้านผู้ผลิต แต่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัย Michigan ที่ลดลง ในขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อด้านผู้ผลิต และด้านผู้บริโภคของจีนก็ออกมาดีทั้งคู่ด้วย ส่งผลให้ตลาดยังคงคาดการขึ้นดอกเบี้ยของ Federal Reserve ในเดือนธันวาคมนี้ยังอยู่ในระดับสูงมาก อย่างไรก็ตามถ้อยแถลงที่ Boston ของ Janet Yellen ประธาน Federal Reserve ที่แสดงความเป็นห่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอันเป็นผลจากวิกฤตการเงินในปี 2007-09 ส่งผลให้เกิดความไม่แน่ใจต่อท่าทีของนาง Yellen ต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมอยู่บ้าง สำหรับ ECB ซึ่งมีกำหนดการประชุมในวันพฤหัสนี้ คาดว่ากำลังมีการเตรียมแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม แต่น่าจะรอดูการประชุมของ Federal Reserve ในเดือนธันวาคมก่อนจึงจะดำเนินการใดๆต่อไป
ปัจจัยภายในประเทศ ยังคงรอดูสถานการณ์ โดยให้ติดตามตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 3 ซึ่งธนาคารพาณิชย์จะประกาศก่อน ซึ่งน่าจะออกมาดีตามคาดการณ์ ด้าน Technical มีกรอบระยะสั้นทางเทคนิคที่กว้างมาก กล่าวคือFalling gap ด้านบนที่ 1,501 ซึ่งจำเป็นที่ SET Index ต้องขึ้นไปปิด และ Rising gap ด้านล่างที่ 1,412 ซึ่งจำเป็นต้องลงไปปิด จึงเป็นเหตุให้ตลาดยังจะผันผวนต่อไปตราบเท่าที่ gaps ทั้งสองยังไม่ได้รับการปิด
กลยุทธ์ในการลงทุนในช่วงนี้ แบ่งเป็น 3 กรณี ได้แก่ กรณีแรก ในระยะสั้น ลงทุนโดยการจับสัญญาณทางเทคนิค โดยหาหุ้นที่มี Falling gap ที่เปิดไว้เพียงด้านเดียวซึ่งจำเป็นต้องขึ้นไปปิดโดยไม่มี rising gap ให้ต้องลงไปปิด กรณีที่ 2 เลือกลงทุนในหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลจ่ายสูง โดยหากราคาหุ้นปรับลดลง Yield จะขยาย และกรณีที่ 3 หากเป็นนักลงทุนระยะยาว ประมาณ 12 เดือนข้างหน้า คาดว่า เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจน ก็แนะนำเลือกหุ้นที่มี Theme ชัดเจน เช่น หุ้นโครงสร้างพื้นฐาน และหุ้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เป็นต้น
ด้านภาพรวมของนักลงทุน ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิที่ประมาณ 1.3 แสนล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิประมาณ 1 แสนล้านบาท และนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ ประมาณ 5 หมื่นกว่าล้านบาท
นายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ Trading Idea ประจำสัปดาห์นี้ บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำซื้อหุ้น ERW ของ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ราคาเป้าหมาย 5.50 บาท จากแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งหลังปี 59 รวมถึงแนวโน้มระยะยาวที่สดใสของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย และการฟื้นตัวทางเทคนิคจากการที่มีแต่ Falling gapเพียงด้านเดียวโดยที่ไม่มี rising gap ให้ต้องลงไปปิดแต่ประการใด
ด้านปัจจัยพื้นฐาน ERW มีกำไรจากการดำเนินงานเติบโตดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในครึ่งปีแรกปี 59 ที่ 81% YoY เป็น 208 ล้านบาท ในขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2/59 เท่ากับ 17 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากขาดทุน 25 ล้านบาท ใน ไตรมาส 2/58 นับเป็นกำไรในช่วง Low season ของไตรมาสที่ 2 ที่ดีที่สุดในรอบแปดปี อันเป็นผลมาจากการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องของจำนวนนักท่องเที่ยวไทย ที่โตขึ้น 8% YoY ในไตรมาส 2/59 และ 12% ในครึ่งปีแรกปี 59
การเจริญเติบโตของผลกำไรที่แข็งแกร่งได้แรงหนุนจากโรงแรมใหม่ 9 แห่งที่ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 2/59 มีโรงแรมรวม 37 แห่ง เทียบกับ 28 แห่ง ณ สิ้นไตรมาส 2/58 โรงแรมราคาประหยัดประเภท Hop Inn เป็นตัวสร้างการเจริญเติบโตของรายได้ที่สูงที่สุดให้ ERW ในครึ่งปีแรกปี 59 โรงแรม ERW ในจังหวัดภูเก็ตสร้างการเจริญเติบโตของรายได้สูงสุดที่ 19%YoY ในไตรมาส 2/59 ส่วนใหญ่มาจากการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียหลังจากที่ลดลงในปี 2558 แม้ว่าการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญจากประเทศจีน ที่กระทบทำให้จำนวนของนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงไปในเดือนกันยายนแต่ไม่น่ากระทบ ERW ซึ่งลูกค้าชาวจีนชองที่นี่เป็นผู้มีรายได้สูงและไม่ได้ใช้บริการทัวร์ประเภทนี้อยู่แล้ว
"บล.เอเชีย เวลท์ คาดว่ากำไรสุทธิของ ERW จะเติบโตที่แข็งแกร่ง 47% ในปีนี้และ 18% ในปี 2560 ราคาเป้าหมายตามวิธี DCF อยู่ที่ 5.50 บาท มี Upside อยู่ 28% จากราคาปัจจุบัน ด้าน Technical รูปแบบราคา ของ ERW แม้ว่าจะเกิดทั้งสัญญาณขายทั้งรายวัน และรายสัปดาห์ แต่ยังมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นจากการเกิดสัญญาณซื้อรายเดือน โดยเมื่อพิจารณา รูปแบบราคาแล้ว ในระยะสั้นที่มีการเปิด Falling Gap อยู่ที่ 4.56 บาท ในขณะที่การเร่งรีบRebound ของ SET Index ที่มีการเปิด Rising Gap นั้น ไม่ได้ทำให้ Price Pattern ของ ERW เกิดการเปิด Rising Gap ดังนั้นในระยะสั้นคาดว่า หุ้นน่าจะเกิดการ Rebound ระยะสั้นโดยมีเป้าหมายเพื่อไปปิด Falling Gap ที่เปิดไว้ที่ 4.56 บาท" นายวรุตม์ กล่าว