กรุงเทพฯ--17 ต.ค.--แบรนด์ คอมมิวนิเคชั่น
ยันฮี ขยายฐานตลาดแพทย์ทางร่วม เจาะกล่มคนรักสุขภาพ ทุ่มงบบกว่า 10 ล้านบาท ขยายบริการศูนย์ล้างลำไส้ 33 ห้อง ตั้งเป้าปี 60 โต 8-10 % เชื่อยันฮีเป็นศูนย์ล้างลำไส้ที่ใหญ่สุดในประเทศ
นพ.วัสสะ วัชรากร หัวหน้าแพทย์ ศูนย์ล้างลำไส้ (Detox) ประจำโรงพยาบาลยันฮี เปิดเผยว่า โรงพยาบาลยันฮี มีนโยบายที่จะพัฒนาศูนย์การรักษาภายในโรงพยาบาลอย่างเนื่อง โดยในปี 2560 มีแผนขยายศูนย์ล้างลำไส้ (Detox) เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรักสุขภาพ โดยเพิ่มห้องDetox อีก 10 ห้องจาก 23 ห้องเป็น 33 ห้อง ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 10 ล้านบาท
การขยายศูนย์ล้างลำไส้ในครั้งนี้ เนื่องจากเล็งเห็นว่า ปัจจุบันมีผู้มารับบริการเฉลี่ยสูงถึงเดือนละ 1,600 ราย และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นปีละ 5 % และคาดว่า ในปี 2560 จะเพิ่มขึ้นเป็น 8- 10 %
"การที่มีการขยายห้องDetoxเพิ่ม เนื่องจากการใช้ชีวิตของคนวัยทำงานในปัจจุบัน มีแต่ความเร่งรีบทำงานแข่งกับเวลา ทำให้พฤติกรรมการรับประทานอาหารเปลี่ยนไป เลือกอาหารที่มีประโยชน์น้อยลง เกิดปัญหาในระบบทางเดินอาหาร และการขับถ่าย ซึ่งการทำดีท๊อกซ์ ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยดูแล สุขภาพ และปรับระบบการขับถ่ายให้กลับสู่ภาวะปกติได้ดี โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพ เพราะดูจากสถิติแล้ว คนวัยทำงาน เป็นกลุ่มที่มาใช้บริการสูงสุด" นพ.วัสสะ กล่าว
สำหรับการพัฒนาศูนย์ Detox ที่จะดำเนินการไปพร้อมๆ กันนั้น เริ่มตั้งแต่การปรับปรุงห้องDetox ทั้ง 23 ห้อง โดยเน้นบรรยากาศให้มีความผ่อนคลายเสริมด้วยกลิ่นหอมของอโรมา หรือกลิ่นบำบัด เพื่อให้ผู้รับบริการรู้สึกสบายตัวมากขึ้น นอกจานั้น ยังพัฒนาด้านบริการและการดูแลดุจญาติมิตร เพื่อเพิ่มความพึงใจให้กับผู้มารับบริการมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันนี้ กลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการมีทั้งคนไทยและต่างประเทศ มีสัดส่วนประมาณ 75:25
นพ.วัสสะ กล่าวว่า ดีท็อกซ์ เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดและกำจัดของเสียต่าง ๆ ออกจากร่างกาย โดยทั่วไปการดีท็อกซ์ลำไส้ มี 2 วิธี คือ
- ดีท็อกซ์ระดับล่าง ด้วยกาแฟ หรือสมุนไพร (ใช้น้ำ 5 ลิตร) เป็นการสวนล้างลำไส้ระดับล่างในช่วง 30 ซม. สุดท้ายของลำไส้ สามารถทำได้ด้วยตนเองที่บ้าน
- ดีท็อกซ์ส่วนบน ด้วยน้ำเกลือแร่ หรือกาแฟ (ใช้น้ำ 25 ลิตร) เป็นการล้างลำไส้ใหญ่ตลอดความยาว 150 ซม. ด้วยเครื่องล้างลำไส้ (COLONIC) ซึ่งสามารถควบคุมอุณหภูมิ ปริมาณและการไหลของน้ำที่เข้าสู่ร่างกาย
สิ่งที่เราอาจไม่เคยรู้ก็คือ อาหารที่เรารับประทานประเภทที่มีเส้นใยน้อยหรือไม่มีเส้นใย เช่น เนื้อสัตว์ ไขมัน และแป้งขัดขาว เมื่อผ่านการย่อยสลายจะกลายสภาพเป็นตะกรันเหนียวหนึบ เคลื่อนผ่านลำไส้ใหญ่ไปได้ลำบากและมักเกาะติดผนังลำไส้ แม้จะถ่ายอุจจาระทุกวันก็ไม่สามารถขจัดสิ่งดังกล่าวออกไปได้หมด ทำให้เกิดการบูดเน่าหมักหมม และเกิดสารพิษที่อาจส่งผลร้ายต่อร่างกาย ดังนี้
- ของเสียที่เป็นพิษต่อร่างกายจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และหมุนเวียนอยู่ภายในร่างกายส่งผลให้เป็นไข้ อ่อนเพลีย มึนงง เวียนศีรษะ และเจ็บป่วยได้ง่าย
- ของเสียเหล่านี้ สามารถทำให้การทำงานของลำไส้ลดลง เกิดอาการเบื่ออาหาร ท้องอืด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย ตลอดจนทำให้มีอาการปวดท้องบ่อย ๆโดยไม่ทราบสาเหตุ
- การสะสมของเสียในลำไส้ใหญ่มาก ๆ จะขัดขวางการดูดซึมเกลือแร่ และวิตามินเข้าสู่ร่างกายทำให้ขาดสารอาหารที่มีคุณค่าได้
การดีท็อกซ์จึงเป็นวิธีที่ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยทำความสะอาดและขจัดของเสียหมักหมมในลำไส้ของคนเรานั่นเอง สอบถามข้อมูล รพ.ยันฮี โทร 0-2879-0300 ต่อ 10145