กรุงเทพฯ--19 ต.ค.--Siam Motors
60 ปี โคมัตสุ ผู้นำอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักในประเทศไทย โชว์ความเป็นหนึ่งในเมืองไทย แสดงศักยภาพ การเติบโตและความสำเร็จอย่างแข็งแกร่ง พร้อมก้าวไปกับเศรษฐกิจไทยในอนาคต และขอบคุณลูกค้าที่เป็นมิตรแท้ ที่ดีมั่นใจองค์กร และเชื่อมั่นทีมงานในการขับเคลื่อนธุรกิจก้าวไปข้างหน้า พร้อมกับลงทุนขยายตลาดใหม่ไปยังประเทศกัมพูชา ภายใต้บริษัท อังกอร์ มอเตอร์เวอคส์
นายวิจิตร ตั้งประภาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกโคมัตสุเซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า "อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักโคมัตสุ นับตั้งแต่ปี 1956 เริ่มจากบริษัท สยามวิศวการ จำกัด ตระหนักถึงความสำคัญของธุรกิจเครื่องจักรกลหนัก ที่มีส่วนในการพัฒนาประเทศ และใช้ในธุรกิจก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ตลอดจนงานเหมือง ได้รับการแต่งตั้งจากโคมัตสุ ประเทศญี่ปุ่น ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศเป็นรายแรกของโลก จนในปี 1960 เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท บางกอกมอเตอร์เวอคส์ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายเครื่องจักรกลหนักเพื่องานก่อสร้างและงานเหมือง รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย และในปี 2010 เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้งเป็น บริษัท บางกอกโคมัตสุเซลส์ จำกัด ด้วยคุณภาพและมาตรฐานสินค้าและบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยม ตลอดจนขยายฐานการผลิตเครื่องจักรกลหนักที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในแถบภาคพื้นเอเซียแปซิฟิค
เครื่องจักรกลโคมัตสุ ได้รับความวางใจจากลูกค้า และมีการขยายบริษัทเพิ่มขึ้นรองรับธุรกิจทั่วประเทศ ได้แก่ บริษัท บางกอกโคมัตสุ จำกัด ผลิตรถขุดและรถตักโคมัตสุจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปกว่า 15 ประเทศทั่วโลก, บริษัท โคมัตสุบางกอกลิสซิ่ง จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านลิสซิ่งสำหรับลูกค้าที่ต้องการบริการเช่าซื้อและทำลิสซิ่งเครื่องจักรกลก่อสร้าง, บริษัท บางกอกโคมัตสุเซลส์ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายเครื่องจักรกลโคมัตสุพร้อมทั้งบริการแบบครบวงจร, บริษัท บางกอกโคมัตสุฟอร์ลิฟท์ จำกัด ผู้นำสินค้าอุตสาหกรรมรถยกและอุปกรณ์ขนย้ายวัสดุ, บริษัท อังกอร์ มอเตอร์เวอคส์ จำกัด จำหน่ายเครื่องจักรกลหนักโคมัตสุพร้อมบริการหลังการขายในประเทศกัมพูชา และปลายปี 2016 เปิดศูนย์ฝึกอบรมปฏิบัติการด้านเทคนิคและเทคโนโลยี ชื่อ Komatsu Asia Training & Demonstration Centre (ATDC) ใช้เงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 77,392 ตารางเมตร และได้รับความร่วมมือ จาก Technical Training Centre ในประเทศญีปุ่น เพื่อเป็นศูนย์พัฒนาบุคลากรของผู้แทนจำหน่าย หรือ Distributors' HR Development ที่นำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยของโคมัตสุมาจัดแสดงเปิดโอกาสให้ลูกค้าสัมผัสนวัตกรรมใหม่ๆ จากโคมัตสุ
สำหรับ ยอดขายในปี 2016 จนถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมานั้น (Fiscal Year Basis: Apr-Sep 2016) ทางบริษัทฯ มีรายได้ราว 3,400 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายจากเครื่องจักรกลใหม่ ประมาณ 2,900 ล้านบาท และด้านอื่นๆ อีก 500 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าทั้งปีจะมียอดขายราว 6,000 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด คิดเป็น 36% เปอร์เซ็นต์ ของตลาดเครื่องจักรกลหนักในเมืองไทย ซึ่งจากการเปรียบเทียบสภาพตลาดกับช่วงเวลาเดียวกันของ ปีที่แล้ว ตลาดมีขนาดโตขึ้นราว 27% ซึ่งทางบริษัทตั้งเป้าว่าจะเป็นที่ 1 ในปีนี้เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี โคมัตสุ ในประเทศไทย
กลุ่มโคมัตสุ มีการพัฒนาศูนย์บริการและสาขา 23 สาขา ทั่วประเทศ ภาคเหนือ ได้แก่ ลำปาง, พิษณุโลก, นครสวรรค์, เชียงใหม่ และเชียงราย, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ขอนแก่น, นครราชสีมา, อุดรธานี, อุบลราชธานี และสุรินทร์ ภาคใต้ ได้แก่ สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, หาดใหญ่ และภูเก็ต ภาคกลาง ได้แก่สระบุรี, ราชบุรี,ระยอง, จันทบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ชลบุรี, นวนคร และสำนักงานใหญ่ กม.23 อีกทั้ง
มีบุคลากรมืออาชีพที่มีความชำนาญ เชี่ยวชาญด้านเครื่องจักร มีคลังอะไหล่แท้โคมัตสุคอยให้บริการลูกค้าได้ทันทีทั่วประเทศ ทำให้มั่นใจว่าบริการหลังการขายที่ดี ทำให้ลูกค้าเกิดความพึงใจสูงสุดนั้นจำเป็นต้องอาศัยความรวดเร็วและฉับไว เป็นหัวใจหลักที่สำคัญ" นายวิจิตร กล่าว
ปัจจุบัน บางกอกโคมัตสุเซลส์ ผู้นำด้านเครื่องจักรกลหนักแบบครบวงจร ได้นำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาช่วยในการบริหารจัดการเครื่องจักร โดยมีระบบ KOMTRAX เครื่องมือที่จะช่วยลูกค้าในการดูแลและบริหารจัดการเครื่องจักร โดย KOMTRAX จะส่งข้อมูลต่างๆของเครื่องจักรผ่านระบบการสื่อสารโทรคมนาคม ข้อมูลของเครื่องจักรจะถูกนำมาใช้โดยลูกค้า ผู้แทนจำหน่าย และโคมัตสุ ผ่านทางคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ Tablet ทั้งระบบ iOS และ Android โดยข้อมูลที่สามารถเช็คได้ประกอบด้วย
• ที่อยู่ของเครื่องจักร
• สถานะการทำงาน และชั่วโมงการทำงาน
• ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง และอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงรายวัน
• คำเตือนด้านความผิดปกติของเครื่องจักร
• การตรวจเช็คเครื่องจักรตามระยะเวลา (PM)
ที่สำคัญ การมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศชาติ และเพิ่มความไว้วางใจจากลูกค้า ด้วยประสบการณ์ยาวนานมากว่า60 ปี การพัฒนารอบทิศทางที่เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งองค์กร และลูกค้า (WIN-WIN) คือ การกำหนดจุดยืน และค่านิยม ร่วมขององค์กร (Core Values) แม้ว่าลักษณะองค์กรที่มีศูนย์บริการอยู่ทั่วประเทศ มีบริษัทในเครือ มีการร่วมทุนกับต่างชาติ มีการเชื่อมโยงต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งบริษัทฯ เห็นถึงความจำเป็นในการปลูกฝังจุดยืน และจิตสำนึกของพนักงานที่ต้องเชื่อมโยงข้อมูลขององค์กร พร้อมสร้างสรรค์งานบริการที่
ครบวงจร ภายใต้นโยบาย B-CONNECT และ Brand Management เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า