กรุงเทพฯ--20 ต.ค.--เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
ราคาอาหารล่าสุด ณ เดือนพฤศจิกายน 2558 เทียบกับ 1 ปีครึ่ง (พฤษภาคม 2557) เพิ่มขึ้น 16.6% ตลอดระยะเวลา 3 ปีครึ่งที่สำรวจ (พฤษภาคม 2555 - พฤศจิกายน 2558) มีราคาเพิ่มขึ้น 29% หรือขึ้นปีละ 7.5% ซึ่งสูงกว่าอัตราภาวะเงินเฟ้อ แสดงถึงความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจที่พึงจับตามอง
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้จัดทำราคาอาหาร โดยถือเป็นดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการศูนย์ฯ ได้งริเริ่มจัดทำการสำรวจราคาอาหารในทุกรอบครึ่งปี โดยที่ผ่านมาได้ทำการสำรวจดำเนินการใน 8 ครั้งดังนี้
ครั้งที่ 1 วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2555
ครั้งที่ 2 วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2555
ครั้งที่ 3 วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม 2556
ครั้งที่ 4 วันจันทร์ 11 พฤศจิกายน 2556
ครั้งที่ 5 วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2557 และ
ครั้งที่ 6 วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน 2557
ครั้งที่ 7 วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2558
ครั้งที่ 8 วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2558
การสำรวจนี้ดำเนินการเฉพาะในพื้นที่สีลม-สุรวงศ์ ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางธุรกิจหรือ Central Business District (CBD) ของประเทศไทย และมีคนทำงานในสำนักงานเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้โดยมีสมมติฐานว่าราคาอาหารในย่านนี้น่าจะเป็นราคามาตรฐานเพราะเป็นในใจกลางเมือง ในบริเวณอื่นน่าจะถูกกว่านี้ ยกเว้นในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวที่มีผู้ไปท่องเที่ยวเป็นครั้งคราว การสำรวจพื้นที่สีลม จึงถือเป็นตัวแทนสำคัญสำหรับกรุงเทพมหานครและประเทศไทยโดยรวม
การสำรวจนี้ ดร.โสภณ เดินสำรวจซ้ำตามร้านเดิมที่เคยสำรวจไว้จำนวน 20 กว่าบริเวณ บางบริเวณเป็นร้านอาหารร้านเดียว บางบริเวณเป็นศูนย์อาหาร พร้อมบันทึกถ่ายภาพนิ่ง และวีดีทัศน์ประกอบ และในบางบริเวณมีร้านค้าเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามห้วงเวลาอีกด้วย โดยแต่ละครั้งที่สำรวจใช้เวลาในการเดินไม่เกิน 2 ชั่วโมงในช่วงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน
โดยสรุปพบว่าราคาอาหาร เช่น ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว เพิ่มขึ้นจาก 31.0 บาทในเดือนพฤษภาคม 2555 เป็น 31.8 บาทในเดือนพฤษภาคม 2556 ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2557 เพิ่มเป็น 34.3 กลายเป็น 36.1 บาทในเดือนพฤศจิกายน 2557 กลายเป็น 38.4 บาทในเดือนพฤษภาคม 2558 และล่าสุดเป็น 40.0 บาทในเดือนพฤศจิกายน 2558 หากคิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจะพบว่า ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (พฤษภาคม - พฤศจิกายน 2558) ราคาอาหารเพิ่มขึ้นถึง 4.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวสูงขึ้นกว่าภาวะเงินเฟ้อเสียอีก
เมื่อประเมินจากภาพรวมสะสม 3.5 ปี (พฤษภาคม 2555 - พฤศจิกายน 2558) ราคาเพิ่มจาก 31.0 บาท เป็น 40.0 บาท หรือเพิ่มขึ้น 29% และหากคิดเป็นการเพิ่มขึ้นต่อปี ก็เท่ากับเพิ่มขึ้นประมาณ 7.5% ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร เพราะสูงกว่าอัตราภาวะเงินเฟ้อ ราคาอาหารล่าสุด ณ เดือนพฤศจิกายน 2558 เทียบกับ 1 ปีครึ่ง (หลังรัฐประหารเมื่อพฤษภาคม 2557) เพิ่มขึ้น 16.6% ซึ่งถือว่าสูงขึ้นมากพอสมควร
มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า อาจมีบางบริเวณ เช่น เมืองท่องเที่ยว หรือเมืองอุตสาหกรรมที่มีการปรับเพิ่มของราคาขายมากกว่านี้ หรือสำหรับรายการอาหารแบบฟาสต์ฟูด ก็อาจปรับราคาเพิ่มขึ้นตามอำเภอใจโดยไม่ได้มีการควบคุม แต่สำหรับประชาชนกันเอง ย่อมมีความเห็นใจและถ้อยทีถ้อยอาศัยกันตามสมควร จึงทำให้แทบไม่มีการปรับราคาขาย
ในกรณีนี้บางท่านอาจตั้งข้อสังเกตว่า แม้ราคาไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณอาจจะลดน้อยลง แต่จากการสังเกตก็พบว่า ปริมาณก็ยังพอ ๆ กับแต่เดิม ไม่ได้ปรับลงปริมาณลงแต่อย่างไร อย่างไรก็ตามก็ยังอาจมีบางท่านให้ข้อสังเกตว่า แม้ปริมาณจะคงเดิม แต่คุณภาพก็อาจลดลง แต่ข้อนี้ ผู้สำรวจคงไม่สามารถไปตรวจสอบในรายละเอียดในระดับนั้น และคงอยู่ที่วิจารณญาณของทุกท่านที่พิจารณาผลการสำรวจนี้
ทำไมราคาสินค้าดูปรับเพิ่มขึ้นมาก แต่ราคาอาหารไม่ได้เพิ่มขึ้นมากในสัดส่วนเดียวกัน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการทำอาหารออกมาขายเป็นจำนวนมากนั้น มีต้นทุนค่าวัตถุดิบถูกกว่าการซื้อของใช้เองตามบ้าน มีโอกาสที่ผู้ค้าอาจลดปริมาณและคุณภาพลงบ้างเช่นกัน หรือเลือกขายในสินค้าที่ใช้วัตถุดิบไม่แพงนัก เช่น ใช้ผักตามฤดูกาล หรือใช้เนื้อหมู ไก่ ซึ่งราคายังไม่เพิ่มมากเท่าปลา เป็นต้น
จากการสัมภาษณ์ผู้ค้าพบว่า ราคาวัสดุที่เพิ่มขึ้นบ้างนั้น ไม่ได้มีผลโดยตรงต่อราคาอาคารที่ขายเป็นปริมาณมาก ๆ ในแต่ละวัน สิ่งที่ส่งผลที่เด่นชัดกว่าก็คือ ค่าเช่าพื้นที่ค้าปลีกเพื่อการขายอาหาร หากค่าเช่าแพงขึ้นมาก ก็จะทำให้ราคาอาหารเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นรัฐบาลหรือกรุงเทพมหานคร อาจช่วยจัดหาพื้นที่ค้าขายในราคาถูก เพื่อให้ผู้ค้าสามารถยืนหยัดขายในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป เพื่อเป็นการช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ประชาชน
จะเห็นได้ว่าราคาอาหารเพิ่มสูงขึ้นบ้าง แต่อาจไม่ได้มีนัยสำคัญมากนัก ผู้ค้าก็มีความพยายามที่จะดูแลผู้ซื้อ ดังนั้น การกล่าวโดยไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงว่าราคาอาหารแพงขึ้นเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นความหวังดีที่ต้องการให้ผู้เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาให้กับสังคม แต่อันตรายประการหนึ่งก็คืออาจทำให้ผู้ค้าบางรายฉวยโอกาสขึ้นราคา ซ้ำเติมประชาชนได้ ดังนั้นการนำเสนอข่าวสารต่าง ๆ จึงควรมีความรับผิดชอบ และผู้เสพข้อมูลควรใช้วิจารณญาณ
การที่ราคาอาหารเพิ่มขึ้น 4.1% ในรอบ 6 เดือนล่าสุด แสดงถึงเพิ่มขึ้นไม่มากนัก อย่างไรก็ตามจากภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างฝืดเคืองในปัจจุบัน จะส่งผลต่อการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพราะต้องใช้จ่ายเงินกับเรื่องชีวิตประจำวันโดยเฉพาะอาหารมากขึ้น ดังนั้นศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จึงคาดว่าตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ.2558 จะลดลงจากปี พ.ศ.2556 ประมาณ 11% ในแง่จำนวนหน่วย (http://bit.ly/1HOcaVz) แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นเพราะเน้นขายสินค้าราคาสูงสำหรับผู้มีรายได้สูงที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ
ดังนั้นรัฐบาลและ คสช. จึงควรเร่งรัดสร้างผลงานด้วยการตรึงราคาอาหารให้เกิดประสิทธิผล
อ้างอิง: AREA แถลง ฉบับที่ 347/2558: วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน 2558
ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน