(ต่อ 6) บัวนา วิสต้า อินเตอร์เนชั่นแนล ภูมิใจเสนอภาพยนตร์แอนิเมชั่นคลาสสิคตลอดกาลของวอลท์ ดิสนีย์พิค "Beauty and the Beast "

ข่าวทั่วไป Friday December 7, 2001 15:01 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 ธ.ค.--บัวนา วิสต้า อินเตอร์เนชั่นแนล
เคิร์ค ไวส์ (ผู้กำกับ)
เป็นผู้กำกับแอนิเมชั่น 3 เรื่องดังของดิสนีย์ คือ Beauty and the Beast (1991), The Hunchback of Notre Dame (1996) และ Atlantis: The Lost Empire (2001) โดยประวัติการผ่านงานในตำแหน่งพัฒนาเรื่องและแอนิเมชั่นทำให้เขาพร้อมสำหรับงานกำกับ ในขณะที่ประสบการณ์ด้านการแสดงในอดีตก็ทำให้เขาสามารถร่วมงานกับผู้พากย์ได้อย่างใกล้ชิดในการสร้างชีวิตแก่ตัวละคร
ไวส์เกิดที่ซานฟรานซิสโกและเติบโตจากย่านเบย์ ในปาโลอัลโต เขามีรายได้จากการเขียนภาพครั้งแรกตั้งแต่อายุเพียง 7 ขวบเมื่อแม่ของเขาส่งภาพวาดรถขยะกับคนขนขยะของเขาไปประกวดใน Junior Art Champion ของ San Francisco Chronicle ซึ่งผลงานของเขาไม่เพียงสร้างความประทับใจแก่คณะกรรมจากหนังสือพิมพ์เล่มดังกล่าวซึ่งตัดสินให้เขาเป็นผู้ชนะเท่านั้น แต่ยังทำให้เขาได้รับคำชมเชยจากกระทรวงสาธารณสุขซึ่งส่งจดหมายและเงินมาเป็นรางวัลตอบแทนอีกด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้ไวส์คิดได้ทันทีว่างานด้านนี้ไม่ธรรมดา และแน่ใจตั้งแต่นั้นว่านี่เองคืออาชีพที่เขาต้องการ
ขณะเรียนเกรดสี่ ไวส์ไปสมัครเรียนที่ Community Center ด้านแอนิเมชั่นและทำหนังด้วยกล้องโบราณซูเปอร์-8 ขึ้นเองด้วยตัวละครดินเหนียว งานอดิเรกนี้ยังคงมีอยู่เรื่อยมาจนเขาเรียนไฮสคูล เมื่อพ่อของเขาเล่าเรื่อง CalArts และวิชาพิเศษเกี่ยวกับแอนิเมชั่นให้ฟัง เขาก็รีบหาข้อมูลและส่งใบสมัครไปทันที ผลคือเขาได้เข้าเรียนที่นั่นและใช้เวลาอีก 4 ปีต่อมากับการเรียนรู้ศิลปะที่ตนรัก ในระหว่างเป็นนักเรียนเขายังหารายได้จากการเขียนภาพล้อ ("ประเภทภาพคนหัวโตตัวเล็กๆ") ที่ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอส์และเมจิคเมาเทน จนเมื่อเข้าสู่ปีปลายๆในมหาวิทยาลัย เขาก็ได้รับการว่าจ้างจากดิสนีย์ให้ไปเป็นแอนิเมชั่นอิสระในหนังโทรทัศน์ฉบับพิเศษเรื่อง Sport Goofy in Soccermania
หลังเรียนจบ ไวส์รับงานแอนิเมชั่นและทำสตอรี่บอร์ดให้กับ The Brave Little Toaster และ Family Dog แอนิเมชั่นที่แทรกอยู่ในหนังชุด Amazing Stories ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ส่วนที่ดิสนีย์เขาทำแอนิเมชั่นให้ The Great Mouse Detective กับ Oliver & Company ก่อนจะค้นพบความสนใจที่แท้จริงของตนในงานด้านการพัฒนาเรื่องราวและตัวละคร เขาจึงไปรับหน้าที่ผู้เขียนเรื่องให้กั Oilspot and Lipstick, Mickey at the Oscars, The Prince and the Pauper, The Rescuers Down Under และ Cranium Command ซึ่งเรื่องหลังสุดนี้เขาร่วมกำกับแอนิเมชั่นยาว 4 นาที (กับ แกรี่ ทรูสเดล) และพากย์เสียงตัวละคร "ไฮโพทาลามัส" ด้วย
หลังเสร็จงานใน Beauty and the Beast ไวส์ไปรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหารให้กับหนังตลกผจญภัยของดิสนีย์เรื่อง Homeward Bound: The Incredible Journey ซึ่งเขาดูแลทั้งงานบทและพากย์เสียงตัวละครสัตว์ ทั้งยังร่วมในการคัดเลือกทีมผู้พากย์อีกด้วย
อลัน เมนเคน (ประพันธ์ดนตรี)
เมนเคนเป็นเจ้าของ 8 รางวัลออสการ์ผู้ยังคงเป็นหนึ่งในคอมโพสเซอร์ที่ได้รับการยกย่องสูงสุดถึงปัจจุบัน ผลงานอันหลากหลายและน่าประทับใจของเขาทั้งในละครเวทีและภาพยนตร์ทำให้เขาคว้ารางวัลจากแทบทุกสถาบันและมีแฟนเหนียวแน่นอยู่ทั่วโลก Hercules (1997) นับเป็นผลงานลำดับที่ 6 ที่เขาทำให้กับดิสนีย์ต่อจาก The Little Mermaid (1989), Beauty and the Beast (1991), Aladdin (1992), Pocahontas (1995) และ The Hunchback of Notre Dame (1996) โดยผลงานล่าสุดคือการประพันธ์เพลงให้แก่แอนิเมชั่นดิสนีย์ปี 2003 เรื่อง Sweating Bullets
ปี 1997 เมนเคนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทั้งรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำจาก The Hunchback of Notre Dame ซึ่งเขาแต่งทั้งสิ้น 6 เพลงโดย สตีเฟ่น ชวอร์ตซ์ เป็นผู้แต่งเนื้อร้อง ก่อนหน้านั้นทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน Pocahontas ซึ่งคว้ารางวัลออสการ์สาขาเพลงยอดเยี่ยมมาได้จากเพลง "Colors of the Wind" และดนตรีประกอบของเมนเคนในงานชิ้นนี้ยังทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์ตัวที่ 8, รางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัลแกรมมี่ด้วย
เมนเคนแต่งดนตรีประกอบให้กับละครบรอดเวย์เรื่อง Disney's Beauty and the Beast ซึ่งทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัลโทนี่่แ ละดราม่าเดสค์อวอร์ด นอกจากนั้นเขายังเป็นผู้แต่งดนตรีประกอบและเพลงให้กับแอนิเมชั่นโด่งดังของดิสนีย์อย่าง Aladdin (โดย โฮเวิร์ด แอชแมน กับ ทิม ไรซ์ แต่งเนื้อเพลง) ซึ่งเขาได้รับ 2 รางวัลออสการ์และ 2 รางวัลลูกโลกทองคำในสาขาดนตรีประกอบดั้งเดิมยอดเยี่ยมและเพลงยอดเยี่ยม (ร่วมกับ ทิม ไรซ์) จาก "A Whole New World" รวมทั้งรางวัลแกรมมี่สาขาเพลงยอดเยี่ยมแห่งปี เขาแต่งเพลงและดนตรีประกอบให้กับ Beauty and the Beast (โฮเวิร์ด แอชแมน แต่งคำร้อง) ซึ่งชนะสองรางวัลออสการ์และสองรางวัลลูกโลกทองคำสาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยมและเพลงยอดเยี่ยมจากเพลงชื่อ "Beauty and the Beast" กับอีก 3 รางวัลแกรมมี่ ขณะที่ The Little Mermaid นั้นทำให้เมนเคนได้รับอีก 2 รางวัลออสการ์และ 2 ลูกโลกทองคำเช่นกันในสาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยมและเพลงยอดเยี่ยม ("Under the Sea") กับอีก 2 รางวัลแกรมมี่ เขาร่วมงานกับ แจ๊ค เฟลด์แมน ผู้แต่งคำร้อง ในเพลง "My Christmas Tree" ของ Home Alone 2: Lost in New York กับหลายๆเพลงในหนังเพลงคนแสดงเรื่อง Newsies และยังมีดนตรีประกอบฝีมือเขาใน Life with Mikey ซึ่งมี 2 เพลงคือ "Cold Enough To Snow" ที่แต่งคำร้องโดย สตีเฟ่น ชวอร์ตซ์ กับเพลงชื่อเดียวกับหนังที่แต่งคำร้องโดย แจ๊ค เฟลด์แมน ส่วนผลงานอื่นๆนอกจากนี้มีอาทิ ดนตรีประกอบของมินิซีรี่ส์ช่อง ABC เรื่อง Lincoln ซึ่งออกอากาศในเดือนธันวาคม ปี 1992 และดนตรีกับเนื้อร้องของเพลงธีม "The Measure of Man" ใน Rocky V ซึ่งร้องโดย เอลตัน จอห์น
เมนเคนร่วมงานกับ โฮเวิร์ด แอชแมน ในละครเวทีเรื่อง Little Shop of Horrors ซึ่งชนะรางวัลของสมาคมนักวิจารณ์ละครเวทีนิวยอร์ค, รางวัลดราม่าเดสค์, รางวัลจาก Outer Critics Circle Award และ London Evening Standard Award สาขาละครเพลงยอดเยี่ยม กับยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขาเพลงยอดเยี่ยมจากเพลงชื่อ "Mean Green Mother From Outer Space" ใน Little Shop of Horrors เวอร์ชั่นหนังอีกด้วย ในปี 1983 เขาได้รับรางวัล BMI Career Achievement Award จากผลงานมากมายในแวดวงละครเพลง อาทิ Little Shop of Horrors; God Bless You, Mr. Rosewater; Real Life Funnies, Atina: Evil Queen of the Galaxy (ทำในเวิร์คช็อปด้วยชื่อ Battle of the Giants); Patch, Patch, Patch; Personals และ Diamonds ในปี 1987 งานละครเพลงดัดแปลงเรื่อง The Apprenticeship of Duddy Kravitz ที่ เดวิด สเปนเซอร์ เป็นผู้แต่งคำร้อง เปิดแสดงในฟิลาเดลเฟีย และปี 1992 โรงละคร WPA ในนิวยอร์คก็แสดงผลงานของเมนเคนเรื่อง Weird Romance โดย เดวิด สเปนเซอร์ เป็นผู้แต่งคำร้องอีกเช่นกัน
เดือนธันวาคม ปี 1994 เมนเคนเปิดละครเพลงเรื่องใหม่สร้างจากบทประพันธ์คลาสสิคของดิคเกนส์ เรื่อง A Christmas Carol ขึ้นที่โรงละครในเมดิสันสแควร์การ์เด้น โดย ลินน์ อาเรนส์ แต่งคำร้อง และ ไมค์ อ็อคเครนต์ กับ อาเรนส์ เขียนบท ละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งและกลายเป็นโชว์ประจำทุกวันหยุดพิเศษของนิวยอร์ค นอกจากนั้น เมนเคนยังอยู่เบื้องหลัง King David ที่ ทิม ไรซ์ รับหน้าที่เขียนคำร้อง และเปิดแสดงแบบจำกัดรอบที่โรงละครนิวอัมสเตอร์ดัมในนิวยอร์คเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1997
เมนเคนเติบโตมาจากย่านนิวโรเชลล์ นิวยอร์ค และสนใจดนตรีมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาเรียนเปียโนกับไวโอลินในช่วงไฮสคูล แต่จนกระทั่งจบจากคณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค (กับการเรียนเตรียมแพทย์อีกพักหนึ่ง) แล้วนั่นเองที่เขาตัดสินใจจะหันมาเอาดีกับอาชีพในวงการดนตรีอย่างจริงจัง และเริ่มหลงรักละครเพลงระหว่างการเรียนที่ Lehman Engel Musical Theater Workshop ที่ BMI ประสบการณ์นี้นำไปสู่การศึกษาด้วยตัวเองอย่างมุ่งมั่นและเป็นช่วงบ่มเพาะที่สำคัญยิ่งสำหรับเขาในการเป็นนักดนตร ีซึ่งในที่สุดมันก็ส่งผลให้ปรากฏชัดเมื่อเขาได้พบ โฮเวิร์ด แอชแมน
ในตอนนั้น เมนเคนทำงานแต่งเพลงและแสดงตามร้านอาหารเล็กๆ กับยังแต่งและร้องเพลงโฆษณาด้วย ผลงานหลายๆชิ้นของเขาได้รับความสำเร็จแต่ก็ไม่เคยได้ผลิตจริงๆ การร่วมงานครั้งแรกของเขากับแอชแมนในปี 1979 ในละครของ WPA เรื่อง God Bless You, Mr. Rosewater ได้รับผลตอบรับอย่างยอดเยี่ยม
ปัจจุบัน เมนเคนกับ เจนิส ภรรยาของเขาผู้เป็นอดีตนักเต้นบัลเล่ต์ระดับอาชีพ อาศัยอยู่ในนิวยอร์คกับลูกสาวสองคน
ลินดา วูลเวอร์ตัน (ผู้เขียนบท)
เป็นผู้วางโครงสร้างเรื่อง, เขียนบทสนทนาฉลาดคมคาย และสร้างตัวละครที่ทั้งทรงพลังและเปี่ยมจินตนาการซึ่งกลายเป็นแนวทางหลักในหนังดิสนีย์ที่นำเทพนิยายคลาสสิคของฝรั่งเศสมาเล่าใหม่เรื่องนี้ ด้วยประสบการณ์ในอดีตทั้งด้านการแสดง, กำกับและเขียนบทละครสำหรับเด็ก ทำให้วูลเวอร์ตันช่วยนำมุมมองที่มีสไตล์และสดใหม่มามอบให้แก่ "เรื่องเล่าเก่าแก่" เรื่องนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม
วูลเวอร์ตันเป็นชาวลองบีช แคลิฟอร์เนีย จบการศึกษาจาก Cal State Long Beach และได้รับปริญญาสาขาการละครสำหรับเด็กจาก Cal State Fullerton หลังเรียนจบเธอก่อตั้งโรงละครเด็กเป็นของตนเองโดยเธอรับหน้าที่ทั้งแสดง, เขียนบทและกำกับละครหลายเรื่องซึ่งออกเดินสายแสดงตามโรงเรียน, ห้างสรรพสินค้า, โบสถ์และโรงละครท้องถิ่น นอกจากนั้น เธอยังเป็นครูในโรงเรียนไฮสคูลและเขียนนิยายสำหรับเด็กโตเรื่อง Star Wind กับ Running Before the Wnd ก่อนจะเข้าสู่วงการหนังและโทรทัศน์ ในปี 1980 เธอเริ่มรับตำแหน่งผู้บริหารสถานี CBS Television โดยมีส่วนร่วมในการปรับปรุงฝังรายการภาคดึกเป็นเวลา 4 ปี
วูลเวอร์ตันหันมาสนใจอาชีพนักเขียนและเริ่มรับงานรายการเด็กเช้าวันเสาร์ ตลอดจนรายการแอนิเมชั่น โดยเป็นผู้เขียนบทหลายๆตอนให้กับ Teen Wolf, The Berenstein Bears และ Chip 'n Dale's Rescue Rangers เมื่อหนึ่งในนิยายของเธอได้รับความสนใจจากผู้บริหารด้านแอนิเมชั่นของดิสนีย์ เธอก็เกิดความสนใจงานเขียนบทหนังแอนิเมชั่นขึ้นและในที่สุดก็ได้รับการว่าจ้างให้มารับหน้าที่ดังกล่าวใน Beauty and the Beast
หลังจากเขียนบทฉบับที่ไม่ใช่ละครเพลงอยู่ถึง 4 ร่าง เธอก็เริ่มไปขัดเกลางานใหม่อีกครั้งกับ โฮเวิร์ด แอชแมน เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างหนังเรื่องนี้ให้กลายเป็นหนังเพลงเต็มรูป "ฉันได้เรียนรู้อะไรๆเกี่ยวกับหนังจากโฮเวิร์ดมากยิ่งกว่าทุกคนที่ฉันเคยร่วมงานด้วย" วูลเวอร์ตันเล่า "เขารู้ว่าควรจะเติมเนื้อหาทางอารมณ์เข้าไปในแต่ละฉากอย่างไร การได้ร่วมงานกับเขาจึงนับเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งที่สุด"
หลังเสร็จสิ้นจากงานใน Beauty วูลเวอร์ตันก็เขียนบทให้กับแอนิเมชั่นเพลงทำรายได้ถล่มทลายของดิสนีย์ประจำปี 1994 เรื่อง The Lion King และร่วมเขียนบทหนังเรื่อง Homeward Bound: The Incredible Journey ซึ่งนำหนังปี 1963 ของดิสนีย์เองกลับมาสร้างใหม่และออกฉายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1993 นอกจากนั้น เธอยังเขียนบทละครให้กับ Beauty and the Beast: The Broadway Musical ซึ่งเริ่มเปิดแสดงในปี 1994 และประสบความสำเร็จล้นหลามจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโทนี่่ถึง 9 สาขา
วูลเวอร์ตันพบว่า การเขียนเรื่องสำหรับเด็กๆนั้นเป็นงานที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง "เพราะสื่อนี้แหละที่ดีเหลือเกินสำหรับการใส่พลังของเราเข้าไป" เธอกล่าว "หากคุณมีไอเดียอยากแสดงต่อโลกล่ะก็ ที่ที่ดีมากสำหรับการทำอย่างนั้นก็คือเขียนให้กับเด็กๆในวัยกำลังเติบโต ฉันจึงหวังว่าจะสามารถเขียนแก่ผู้ชมวัยเยาว์เหล่านี้ได้เสมอ"
ทีมพากย์ (เรียงตามลำดับตัวอักษรในชื่อภาษาอังกฤษ)
ร็อบบี้ เบนสัน (อสูร)
เบนสันเป็นผู้ให้เสียงพากย์ลึกลับและทรงพลังแก่เจ้าชายรูปงามผู้ถูกกักขังอยู่ในร่างอสูรอัปลักษณ์ บทนี้ทำให้เขามีโอกาสแสดงความสามารถด้านการร้องเพลงที่ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดีดังที่เคยปรากฏในละครเพลงบรอดเวย์มาแล้วหลายเรื่อง เบนสันได้รับการคัดเลือกจากผู้สมัครหลายสิบคนสำหรับบทนี้
"อสูรเป็นบทที่คัดเลือกตัวนักพากย์ได้ยากที่สุด" ผู้กำกับ เคิร์ค ไวส์ เล่า "เราต้องการคนที่ให้เสียงได้เหมือนสัตว์ประหลาดขนดกสูง 8 ฟุต และในเวลาเดียวกันก็ต้องเปิดเผยถึงความอบอุ่น, ความจริงใจ และความฉลาดของเจ้าชายผู้เป็นมนุษย์ได้ด้วย ร็อบบี้เป็นคนแรกที่สามารถผสมผสานทั้งสองส่วนนั้นเข้าด้วยกันได้อย่างน่าเชื่อ เขาทำให้อสูรดูอบอุ่นและมีอารมณ์ขันแบบที่ผมคาดไม่ถึงด้วยการเปลี่ยนอารมณ์ในประโยคไปนิดหน่อย เราจึงตอบรับความสามารถของเขาด้วยการพยายามเพิ่มด้านนี้ของตัวละครเข้าไปอีกในช่วงที่เขามีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ร็อบบี้เป็นนักแสดงที่สร้างสรรค์และสามารถค้นหาวิธีเล่นฉากต่างๆที่ช่วยให้ตัวละครมีชีวิตขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง"
ส่วนตัวเบนสันเองกล่าวว่า "นี่เป็นผลงานที่น่าตื่นเต้นที่สุดในอาชีพของผม ผมเป็นแฟนเหนียวแน่นของแอนิเมชั่นดิสนีย์มาตลอดและยิ่งมาคิดว่าลูกๆของผมจะได้ดูหนังเรื่องนี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้มันกลายเป็นสิ่งพิเศษยิ่งกว่าหนังเรื่องไหนๆที่ผมเคยแสดงมา ผมตื่นเต้นมากที่ได้รับบทนี้เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ผมจะคว้ามาได้ ตั้งแต่วินาทีที่เข้าไปทดสอบเสียงและเห็นบทพูด ผมก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณทันทีว่าจะแสดงอย่างไร มันทำให้ผมมีโอกาสใช้บุคลิกส่วนหนึ่งของตัวเองซึ่งไม่ค่อยได้ใช้นักและก็ยังทำให้มีโอกาสได้ใช้ประโยชน์เต็มที่จากเสียงเบสตามธรรมชาติของผมด้วย"
เบนสันเกิดในดัลลัส เท็กซัส และโตในนิวยอร์คซิตี้ จบการศึกษาจาก Lincoln Square Academy เขาเริ่มอาชีพนักแสดงตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบในละครเรื่องหนึ่งร่วมกับแม่ของเขาเอง ครั้นอายุ 10 ขวบ เขาก็ไปปรากฏตัวในโฆษณา, พากย์เสียงบรรยาย และพากย์เสียงเด็กในหนังต่างประเทศหลายเรื่อง
เมื่ออายุได้ 14 เบนสันเริ่มเล่นหนังเรื่องแรกคือ Jory และในปีต่อมาก็แสดงใน Jeremy ซึ่งได้รับรางวัลจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ นับแต่นั้น เขาก็ปรากฏตัวในหนังมากมายเช่น One on One, The Chosen, Ice Castles, Running Brave, Tribute, Harry and Son, Ode to Billy Joe, Walk Proud, The End และ Lucky Lady ขณะที่ผลงานน่าจดจำทางโทรทัศน์ประกอบด้วย Death Be Not Proud, Our Town, The Last of Mrs. Lincoln, Richie, Two of a Kind และ California Girls นอกจากนั้นเขายังเขียนบท, กำกับและแสดงนำเองในหนังเรื่อง Modern Love กับ White Hot โดยเรื่องหลังโด่งดังในฐานะหนังอเมริกันเรื่องแรกที่ถ่ายทำด้วย High Definition Video (HDTV)
ผลงานกำกับทางโทรทัศน์ของเบนสันได้แก่ ซิตคอมเรื่อง Evening Shade, Ellen (ซึ่งเขากำกับช่วงปีแรก) และ Sabrina, The Teenage Witch (ซึ่งเขารับบทพ่อของซาบริน่าด้วย)
เบนสันแต่งเพลงมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และมีผลงานดังในเวลาต่อมาร่วมกับ คาร์ลา เดอวิโต้ ภรรยาของเขา เขาทำดนตรีประกอบให้กับหนังเรื่อง Walk Proud และแต่งดนตรีตลอดจนเพลงจบให้กับหนังเรื่อง Modern Love
เบนสันเป็นอาจารย์ที่ The University of South California โดยสอนวิชาการทำหนังและการแสดง รวมถึงวิชาการแสดงที่ UCLA และ University of Utah ที่ซอลต์เลคซิตี้
เบนสันกลับมารับบทอสูรอีกครั้งให้กับผลงานปี 1997 ของวอลท์ดิสนีย์โฮมเอนเตอร์เทนเมนต์เรื่อง Beauty and the Beast: The Enchanted Christmas
(ยังมีต่อ)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ