กรุงเทพฯ--25 ต.ค.--เอ็มที มัลติมีเดีย
บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ หรือ LHFund ชี้ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุนในระยะยาว หลังค่า PE ในปีหน้าที่จะปรับลดลงเหลือ13.5 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 15 เท่า แต่ถ้าดัชนีปรับขึ้นเกินกว่า 1,500 จุด นักลงทุนระยะสั้นต้องเพิ่มความระมัดระวังด้านผู้บริหารแนะนักลงทุนระยะยาว ให้กระจายการลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาฯ REITs และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน มีโอกาสรับผลตอบแทนจากเงินปันผลสม่ำเสมอ พร้อมเผยอยู่ระหว่างเปิด IPO กองทุน LHPROP-INFRA วันที่ 17-26 ต.ค.นี้
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LHFundเปิดเผยว่า จากการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในปีนี้และปีหน้า คาดการณ์จะมีอัตราเติบโตต่อเนื่องอยู่ที่ 3-3.5% โดยมีปัจจัยหนุนจากการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐและเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามในด้านปัจจัยต่างประเทศยังคงมีความเสี่ยงที่ต้องระวัง ได้แก่ การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป เช่น ประเทศฝรั่งเศสและเยอรมัน ที่เตรียมเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ประเทศอังกฤษที่จะบังคับใช้ Article 50 ในเดือนมีนาคมปีหน้าเพื่อเริ่มต้นการเจรจาต่อรองทางการค้ากับประเทศต่างๆ ภายในกำหนดระยะเวลา 2 ปี ส่วนประเทศญี่ปุ่นนั้นคาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะได้รับผลดีจากเงินเยนที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงในปีหน้า หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ ในส่วนของภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นของไทยนั้น หากเป็นการลงทุนในระยะสั้นจะต้องเพิ่มความระมัดระวังในกรณีที่ดัชนีปรับขึ้นสูงกว่า 1,500 จุด ซึ่งจะส่งผลให้มีค่า PE (Price-Earnings Ratio) อยู่ที่ 15 เท่า อย่างไรก็ตาม หากเป็นการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจ จากค่า PE ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีหน้าที่จะปรับลดลงเหลือ 13.5 เท่า เนื่องจากคาดว่าในปี 2560 ตลาดหุ้นไทยจะมีอัตรากำไรต่อหุ้นเติบโตสูงถึง 12-15% ขณะที่บริษัทจดทะเบียนขนาดกลางและเล็กน่าจะมีกำไรต่อหุ้นเติบโตได้ 20-30%
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการจัดพอร์ตให้มีความผันผวนต่ำ ควรพิจารณากระจายการลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) หรือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2559 มีการจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยในอุตสาหกรรม 5.54% ต่อปี และมีค่าเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงระหว่างราคากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ค่าเบต้า) ต่ำอยู่ที่ 0.422 เท่า (ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 21/10/2557 – 20/10/2559) ในขณะที่อัตราผลตอบแทนรวมของดัชนีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ในไทย จากต้นปีนี้ถึงวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทน 19.07% ถือว่าอยู่ในอัตราที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนการลงทุนในดัชนีผลตอบแทนรวมของตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 21.28% ที่มีความผันผวนสูงกว่า นอกจากนี้ จากการศึกษาการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงก่อนปี 2551 ที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ และหลังปี 2552 เป็นต้นมา พบว่าดัชนี REIT ประเทศในเอเชียยังคงปรับตัวขึ้นได้ (ที่มา Bloomberg)
โดยปัจจุบัน LHFund อยู่ระหว่างเปิดขาย IPO กองทุนเปิด แอล เอช ไทย พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ อินฟรา สตรัคเจอร์ เฟล็กซิเบิ้ล (LHPROP-INFRA) วันที่ 17-26 ตุลาคม 2559 ซึ่งเป็นกองทุนผสมที่มีนโยบายลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานและตราสารหนี้ในประเทศไทย โดยสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในหลักทรัพย์ดังกล่าวตั้งแต่ 0-100 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ซึ่งการกำหนดสัดส่วนการลงทุนในแต่ละหลักทรัพย์ LHFund จะพิจารณาจากสภาวะตลาดในแต่ละช่วงแบบยืดหยุ่นเพื่อประโยชน์สูงสุดของกองทุน
"เรามีความเชี่ยวชาญการลงทุนภายใต้กลยุทธ์ Asset Allocation ที่จัดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ตามนโยบายของกองทุน เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน ซึ่งเรามองว่าการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และ REITs ในช่วงนี้ มีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากค่าเช่าและราคาอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าจะปรับขึ้นได้อีกในอนาคต ช่วยเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในการลงทุน" นายมนรัฐ กล่าว
ทั้งนี้หากนักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุน (LHPROP-INFRA) สามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ LHFund หรือโทรสอบถามข้อมูลได้ที่เบอร์ 02-286-3484 ได้ทุกวันทำการ 08.30 – 17.30 น.