กรุงเทพฯ--27 ต.ค.--กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) โดยสำนักโลจิสติกส์ เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนแผนแม่บทโลจิสติกส์ของประเทศไทยระยะที่ 2 ปี 2560-2564 เพื่อยกระดับการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรมไทยสู่ความมั่งคั่ง เข้มแข็งและยั่งยืน สอดรับนโยบายรัฐบาล Thailand 4.0 และของกระทรวงอุตสาหกรรมอินดัสทรี 4.0 พร้อมชู 5 ยุทธศาสตร์หลักในการหนุนผู้ประกอบการไทยในการสร้างมูลค่าเพิ่ม และลดต้นทุนโลจิสติกส์ต่อยอดขายของภาคอุตสาหกรรมไม่น้อยกว่า 15% และเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการโซ่อุปทานได้ไม่ต่ำกว่า 10% ภายในปี 2564
นายเดชา เกื้อกูล รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เปิดเผยว่า กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ โดยสำนักโลจิสติกส์เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาส่งเสริมระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรมตลอดโซ่อุปทาน ดังนั้น การกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงตลอดโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเป้าหมาย จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากโลจิสติกส์และซัพพลายเชนเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งยังสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้แก่ภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น องค์กรที่มีการวางแผนและกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์ที่ดีและสามารถถ่ายทอดลงไปสู่การปฏิบัติการในการปรับปรุงภายในองค์กร รวมถึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารตลอดทั้งองค์กร ด้วยจัดการ โลจิสติกส์และซัพพลายเชนอย่างสอดคล้องและเหมาะสม จะทำให้สามารถลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กรโดยรวมได้ และเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า
จากผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรมของประเทศไทย ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2555-2559) สามารถสร้างความร่วมมือและการเชื่อมโยงภายในซัพพลายเชนได้ 94 โซ่อุปทาน มีสถานประกอบการเข้าร่วม 1,764 ราย และลดต้นทุนรวมทั้งหมด 13,000 ล้านบาท ดังนั้นเป็นการยืนยันได้ว่าแนวทางการสนับสนุนส่งเสริมของภาครัฐในเรื่องนี้ เป็นไปอย่างจริงจังและตรงตามความต้องการของภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการให้สามารถพัฒนาปรับตัว จนเกิดผลสำเร็จได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากการที่ภาครัฐและภาคเอกชน ได้ร่วมมือร่วมใจกันสร้างทักษะและองค์ความรู้ให้กับบุคลากรในระดับต่างๆ ให้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เครื่องมือ และนำแบบอย่างที่ดีไปปรับใช้ เพื่อช่วยในการกำหนดแนวทาง แผนทางธุรกิจ บริหารจัดการกระบวนงานภายในองค์กร และที่สำคัญคือ มีการลงมือพัฒนาปรับปรุงอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
สำหรับทิศทางและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชนใน 5 ปีข้างหน้า นั้น ขณะนี้ทางสำนักโลจิสติกส์ได้จัดทำแผนแม่บทการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560-2564) เสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมนำมาปรับใช้เป็นกรอบแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชนของภาคอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบันเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในอนาคต โดยมีเป้าหมายระยะยาวในปี 2564 ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มและลดต้นทุนโลจิสติกส์ของโรงงานอุตสาหกรรมได้ไม่น้อยกว่า 15% ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการธุรกิจมีต้นทุน โลจิสติกส์ต่อยอดขายอยู่ที่ 8.71%
"แผนแม่บทฉบับที่ 2 นี้เป็นการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องจากแผนแม่บทฯ ฉบับที่ 1 และดำเนินการสอดรับกับการปรับอุตสาหกรรมไปสู่อินดัสทรี4.0 เพื่อมุ่งให้เกิดการยกระดับ ขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศได้ในอนาคต ทั้งยังสามารถทำให้เกิดการเชื่อมโยงจากนโยบายรัฐให้มีประสิทธิมากขึ้น โดยแผนแม่บทฉบับใหม่นี้จะมุ่งกำหนดบทบาทที่กว้างมากขึ้น และเน้นให้ความสำคัญกับการสร้างบุคลากรที่เป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนเพื่อเร่งสร้างบุคคลากรที่มีองค์ความรู้ให้กระจายสู่ภูมิภาคอุตสาหกรรม พร้อมเร่งปรับตัวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย รวมถึงสามารถสร้างความเชื่อมโยงโครงข่ายอุปสงค์และอุปทานทั้งในภูมิภาคและเวทีการค้าโลกให้เกิดมูลค่าเพิ่มในการผลิตสินค้า มีการประกอบธุรกิจ การค้า และการบริการแบบไร้รอยต่ออย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น"
นายเดชา เกื้อกูล รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรมบรรลุเป้าหมายโดยสมบูรณ์ เบื้องต้นจึงได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์หลักที่จะสนับสนุนการดำเนินการไว้ 5 ยุทธศาสตร์ ซึ่งภายใต้ยุทธศาสตร์
เหล่านี้จะมีการกำหนดกลยุทธ์ แผนการดำเนินงาน รวมทั้งโครงการรองรับและหน่วยงานสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันแผนไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริงด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน และให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างรวดเร็ว
สำหรับปี 2560 นี้ สำนักโลจิสติกส์ยังคงเดินหน้าดำเนินงานในโครงการพัฒนาขีดความสามารถด้าน โลจิสติกส์และโซ่อุปทานให้กับผู้ประกอบการไทยอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2560-2564) ผ่าน 5 โครงการใหญ่ ดังนี้
1. โครงการยกระดับปฏิบัติการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานภาคอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมให้มีการพัฒนาความสามารถในการบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์ภายในองค์กร และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระดับโซ่อุปทานของประเทศอย่างยั่งยืน
2. โครงการส่งเสริมการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมภายในองค์กรสู่ระดับสากล (Competitive Supply Chain and Logistics Information Technology and Innovation)
3. โครงการพัฒนาระบบการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานในพื้นที่การค้าชายแดน เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของสถานประกอบการในพื้นที่เป้าหมาย ทั้งภาคการผลิต ภาคการค้า และการบริการ ให้มีการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานที่ดี สามารถเชื่อมโยงการดำเนินงานของทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพทั้งภายในและระหว่างประเทศ
4. โครงการยกระดับมาตรฐานด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ระดับสากล (World Class Supply Chain and Logistics Standardization) เพื่อเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการไทยให้มีระบบงานระดับมาตรฐานสากล (International Standard) ในทุกมิติที่เกี่ยวข้องให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization)
และ 5. โครงการพัฒนาบุคลากรภาคอุตสาหกรรมในวิชาชีพด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน (Logistics and Supply Chain Professional Capability Development) เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมให้มีองค์ความรู้และทักษะด้านการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน มีคุณภาพและสามารถยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างสถานประกอบการอุตสาหกรรมภายในโซ่อุปทานที่เคยเข้าร่วมโครงการของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ทาง
สำนักโลจิสติกส์ กพร. มีกำหนดจัดงานสัมมนาสร้างเครือข่าย Go Together: Win-Win Collaboration 2016 เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมาเพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายและแบ่งปันองค์ความรู้ด้านการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์สู่ความสำเร็จให้สถานประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างสอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจและยั่งยืน