PwC แนะจับตา 'ปฏิวัติอุตสาหกรรมสู่ยุค 4.0’ คาดเงินลงทุนพุ่งใน 5 ปีข้างหน้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 31, 2016 11:28 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--31 ต.ค.--PwC Consulting PwC เผยบริษัทในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมทั่วโลกตื่นตัวปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 คาดภายใน 5 ปีใช้เม็ดเงินลงทุนกว่า 907 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี เพื่อเชื่อมเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเข้ากับทุกหน่วยการผลิต ชี้อุตสาหกรรม 4.0 ช่วยผลักดันรายได้ด้านดิจิทัลของบริษัทเพิ่มขึ้น 2.9% ต่อปี แถมช่วยลดต้นทุนปีละ 3.6% แต่ระบุความท้าทายของธุรกิจ คือ การขาดวัฒนธรรมดิจิทัลในองค์กร–ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ด้านไทยหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเริ่มตื่นตัวหลังรัฐบาลประกาศใช้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ภายใต้แนวคิด "ไทยแลนด์ 4.0" คาดต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากเพื่อเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัล นางสาว วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา บริษัท PwC Consulting (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงผลสำรวจ Industry 4.0: Building the digital enterprise ที่ทำการสำรวจบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมจำนวนกว่า 2,000 รายจาก 9 อุตสาหกรรม ใน 26 ประเทศว่า ปัจจุบันบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลกกำลังตื่นตัวในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Industry 4.0) โดยเชื่อมเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเข้ากับทุกหน่วยการผลิตตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดกระบวนการ ถือเป็นยุคที่มีการบรูณาการระบบนิเวศทางดิจิทัลเข้ากับพันธมิตรในห่วงโซ่คุณค่า (Value chain partners) โดยการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Data analytics) ถือเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรม 4.0 ทั้งนี้ คาดว่า จากนี้จนถึงปี 2563 อุตสาหกรรมทั่วโลกจะลงทุนปีละ 907,000 ล้านดอลลาร์เพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 "เราเห็นกระแสการลงทุนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกเพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุค 4.0 อย่างเต็มรูปแบบจากบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรม วันนี้ผู้ประกอบการเน้นไปที่การลงทุนในเทคโนโลยีสำคัญๆ เช่น เซ็นเซอร์ หรืออุปกรณ์เชื่อมต่อ ซอฟแวร์ และแอปพลิเคชัน เช่น ระบบประมวลผลสถานะและระบบการผลิต รวมไปถึงการฝึกอบรมพนักงาน เพื่อผลักดันให้องค์เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่ต้องการ โดยบริษัทมากกว่าครึ่งที่ทำการสำรวจคาดหวังว่า จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนกลับคืนมาภายใน 2 ปี" นางสาว วิไลพร กล่าว ปัจจุบัน ผู้นำบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมมีการเปลี่ยนแปลงฟังก์ชั่นการทำงานภายในองค์กรให้เป็นดิจิทัล รวมทั้งมีการบรูณาการห่วงโซ่อุปทานทั้งในแนวราบและแนวดิ่ง ไม่ว่าเป็นกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การขนส่งและโลจิสติกส์ ตลอดจนการมีพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น ซัพพลายเออร์ คู่ค้าและลูกค้า นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆที่มีฟังก์ชั่นการทำงานแบบดิจิทัล และบริการฐานข้อมูลอีกด้วย ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า 1 ใน 3 ของบริษัทที่ทำการสำรวจให้คะแนนอัตราการแปลงเป็นดิจิทัลของตน (Digitisation) อยู่ที่ระดับ 33% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 72% ภายใน 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้ในอีก 5 ปีข้างหน้า รายได้ด้านดิจิทัลของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2.9% หรือคิดเป็นรายได้ต่อปีที่ 493,000 ล้านดอลลาร์และช่วยลดต้นทุนปีละ 421,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 3.6% ต่อปีโดยเฉลี่ย เนื่องจากเทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยให้ย่นระยะการผลิตให้สั้นลง ทำให้สามารถนำสินทรัพย์มาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด และเพิ่มคุณภาพสินค้าให้สูงขึ้น นางสาว วิไลพร กล่าวต่อว่า ไม่น่าแปลกใจที่หากบริษัททั่วโลกปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ได้สำเร็จ จะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นและช่วยลดต้นทุนจำนวนมหาศาล เพราะยุคอุตสาหกรรม 4.0 เป็นการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะและข้อมูลแบบเรียลไทม์มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 'การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง' หัวใจสำคัญของอุตสาหกรรม 4.0 จากการสำรวจพบว่า การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม 4.0 โดยมากกว่า 80% ของบริษัทที่ทำการสำรวจคาดว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าการวิเคราะห์ข้อมูลจะเข้ามามีอิทธิพลต่อกระบวนการตัดสินใจของพวกเขาอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการวิเคราะห์ข้อมูลจะทำให้ทราบถึงความต้องการของลูกค้า ช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ โดยโรงงานยุค 4.0 จะสามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายรูปแบบ และแตกต่างกันตามความต้องการของผู้บริโภคแต่ละราย อย่างไรก็ดี ความท้าทายของธุรกิจ คือ การขาดการปลูกฝังวัฒนธรรมดิจิทัลภายในองค์กรที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นวิสัยทัศน์ และ การฝึกอบรม รวมไปถึงการขาดผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล โดยเกือบ 40% ของผู้บริหารที่ทำการสำรวจระบุว่า ยังอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ของพนักงานแต่ละคนเป็นหลัก แทนที่จะจัดตั้งแผนกหรือหน่วยงานขึ้นมาดูแลและทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ความปลอดภัยของข้อมูล ก็ยังเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องใส่ใจ โดย นางสาว วิไลพรกล่าวว่า การบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลจะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถป้องกันปัญหาการโจรกรรมข้อมูล และช่วยลดผลกระทบต่อระบบปฏิบัติการในองค์กรอันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้ดียิ่งขึ้น นางสาว วิไลพร กล่าวว่า ในขณะที่บริษัทและอุตสาหกรรมชั้นนำต่างๆ ทั่วโลกต่างเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า บูรณาการด้านดิจิทัลขององค์กรทั่วโลกจะอยู่ในระดับที่ไม่แตกต่างกันมากนักในอีก 5 ปีข้างหน้า แต่จะมีประเทศอย่างเยอรมนี สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นเป็นประเทศผู้นำการปฏิวัตินี้ ยกตัวอย่าง เช่น บริษัทในประเทศเยอรมนีและญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้มีความพร้อมมากที่สุดจะเน้นไปที่การแปลงเป็นดิจิทัลทั้งในส่วนของการดำเนินงานภายในองค์กรและสร้างพันธมิตรในแนวราบ ส่วนในสหรัฐอเมริกา จะเกิดรูปแบบการทำธุรกิจใหม่ๆ มากขึ้นเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนสินค้าและบริการให้เป็นดิจิทัลของผู้ประกอบการ ขณะที่บริษัทผู้ผลิตในประเทศจีนเอง จะเน้นไปที่การลดต้นทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งจากต่างประเทศ สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ภายใต้โมเดลที่เรียกว่า "ประเทศไทย 4.0" ในระยะเวลา 3-5 ปี โดยจะเป็นเศรษฐกิจที่เน้นการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Value-Based Economy) เปลี่ยนการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ไปสู่สินค้าเชิงนวัตกรรม เปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วยอุตสาหกรรมไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและดิจิทัล และเปลี่ยนจากการเน้นภาคการผลิตไปสู่ภาคการบริการมากขึ้น ซึ่งหากทำสำเร็จ จะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ประเทศได้อย่างมาก และน่าจะช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาวอีกด้วย แต่อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นความท้าทายของภาครัฐในการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สมบูรณ์ รวมทั้งการขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อเป็นรากฐานในการก้าวไปสู่ยุค 4.0 ซึ่งคาดว่า จะต้องใช้เงินลงทุนด้านนี้เป็นจำนวนมหาศาล ด้านผู้ประกอบการไทยเองก็เริ่มตื่นตัวในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้าและบริการของตนเอง โดยหลายบริษัทเริ่มกันเงินงบประมาณส่วนหนึ่งเพื่อลงทุนด้านดิจิทัลไว้ด้วยเช่นกัน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ