กรุงเทพฯ--8 พ.ย.--บลจ.วรรณ
บลจ.วรรณ ลุ้น นางฮิลลารี คลินตัน ขึ้นรับตำแหน่ง มั่นใจหากได้ตามคาดตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับเชิงบวก เผยมุมมองตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ ระยะสั้นผันผวน แต่ยังคงมุมมองเชิงบวกจากปัจจัยภายในประเทศและราคาน้ำมันดิบ มองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,475-1,520
นายมณฑล จุนชยะ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงนี้จะมีต่อตลาดเงินและตลาดทุนโลกรวมทั้งไทย โดยแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 3 ตลาด ได้แก่ ตลาดหุ้น หากฮิลลารี คลินตัน พรรคเดโมแครตได้รับเลือกตั้ง บริษัทคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองเชิงบวกตามตลาดหุ้นโลก ขณะที่ ตลาดตราสารหนี้ไทยแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะเพิ่มขึ้นจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐและเม็ดเงินลงทุนบางส่วนที่จะไหลกลับไปที่สหรัฐฯ ในส่วนของ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนไทยคาดว่า ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงและเป็นผลดีต่อการส่งออกของไทย
ในทางกลับกัน หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ พรรครีพับลิกัน ได้เลือกตั้ง ภาพการลงทุนตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนตามตลาดโลก โดยตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีความผันผวนจากนโยบายเศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างประเทศที่แข็งกร้าวขึ้น ซึ่งคาดว่า ตลาดตราสารหนี้ไทย ทิศทางของอัตราผลอตอบแทนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีโอกาสปรับตัวลดลงช่วงแรกจาก Risk-off mode และความกังวลต่อแนวโน้ม เศรษฐกิจโลก ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ บริษัททมองว่า อาจมีการเปลี่ยนประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ซึ่งจะส่งผลให้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อาจจะต้องชะลอออกไป และทำให้ตลาดมีความผันผวน ด้าน ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ทิศทางค่าเงินบาทมีโอกาสผันผวนตามสกุลเงินดอลลาร์ฯ
ในส่วนตลาดหุ้นไทยช่วงต้นสัปดาห์ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผันผวน เพื่อรอความชัดเจนจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ซึ่งจะทราบผลจาก Exit Poll ช่วงเช้าในวันที่ 9 พ.ย. 59 ตามเวลาประเทศไทย โดยนักวิเคราะห์คาดว่าหากนางฮิลลารี คลินตันได้รับการเลือกตั้งดังกล่าวจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกมากกว่า เนื่องจากนโยบายของนางฮิลลารี คลินตันสนับสนุนต่อเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศมากกว่าเมื่อเทียบกับนายโดนัลท์ ทรัมพ์ ซึ่งหากนางฮิลลารี คลินตัน ได้รับการเลือกตั้งแล้วนั้น คาดว่าจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลกและส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวบวกขึ้นในช่วงกลางถึงปลายสัปดาห์
"ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ ยังมีปัจจัยบวกภายในที่สนับสนุนการปรับขึ้นของดัชนี ได้แก่ การประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3/59 ที่จะทยอยออกมาโดยเฉพาะในส่วนภาคการผลิตซึ่งคาดว่าดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน ความคืบหน้าของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เนื่องจากวันนี้จะมีการยื่นซองประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-สายสีชมพู และราคาน้ำมันที่มีโอกาสปรับตัวลดลงจำกัดมากขึ้น หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงมากในสัปดาห์ที่ผ่าน และนักลงทุนส่วนหนึ่งเก็งผลประชุม OPEC ในวันที่ 30 พ.ย. 59 โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,475-1,520 จุดในส่วนของคำแนะนำการลงทุน"นายมณฑล กล่าว
นายมณฑล กล่าวเสริมว่า คำแนะนำการลงทุนในช่วงนี้ หากตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงไทยมีการย่อตัวลงจากความกังวลของผลการเลือกตั้งดังกล่าว หรือเกิดแรงขายจากการ Sell on fact บางส่วน หลังตลาดรับรู้ผลการเลือกตั้ง บริษัทมองว่าเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะสามารถทยอยซื้อสะสม โดยนักลงทุนระยะกลางถึงยาว แนะนำให้ทยอยซื้อสะสมหุ้นไทย เนื่องจากยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย ในส่วนของตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมองเป็นโอกาสการลงทุนเช่นกัน โดยเศรษฐกิจสหรัฐยังมีโอกาสเติบโตได้ในระยะถัดไป จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตต่อเนื่องและนักลงทุนได้รับรู้เรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยฯ ของธนาคารกลางสหรัฐในเดือนธันวาคม 59 จำนวน 1 ครั้ง และในปี 60 อีก 2 ครั้ง ไปค่อนข้างมากแล้ว นอกจากนี้ เม็ดเงินลงทุนที่จะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ หากวิเคราะห์จากข้อมูลในอดีตของ Schroders ที่ได้ทำการบันทึกข้อมูลผลตอบแทนของตลาดหุ้น S&P500 พบว่า เมื่อตลาดหุ้นเกิดการ Panic sell ลงมาจะทำให้นักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นช่วงนั้นได้รับผลตอบแทน Total Return ประมาณ 15%-20% ในช่วง 1 ปีถัดไป