กรุงเทพฯ--10 พ.ย.--เมคอะเว็ลท์ คอนซัลติ้ง
บล.ทรีนีตี้ แนะรอจังหวะให้ SET Index ย่อตัวลงมาก่อน จึงค่อยเข้าสะสมหุ้นรอบใหม่ มองกรอบแนวรับที่น่าสนใจอยู่ที่1450 จุด คาดหุ้นขนาดกลาง-เล็กจะกลับมา Outperform ตลาดอีกครั้ง สำหรับผู้ที่มีหุ้นอยู่ในระดับสูง อาจต้องพิจารณาลดพอร์ทลงมาบางส่วน โดยอาจเลือกขายหุ้นขนาดใหญ่เป็นลำดับแรก
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ถือเป็นการผิดความคาดหมายของเราและตลาดที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 มองกรณีนี้เป็นกรณีที่แย่ที่สุดเนื่องจากการออกกฎหมายต่างๆ ที่เห็นชอบโดยนายโดนัลด์ ทรัมป์จะสามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งกฎหมายแรกๆ ที่เราคาดว่านายทรัมป์จะพยายามผลักดันให้ออกมาเร็วที่สุดได้แก่การปรับลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 15% และการปรับลดภาษีเงินโอนกลับสู่ประเทศลงเหลือ 10% รวมไปถึงแนวนโยบายที่จะเน้นการสร้างงานในประเทศ และการกีดกันการค้าต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นนโยบายที่เป็นลบต่อประเทศเกิดใหม่ในเชิงของกิจกรรมทางการค้าและตลาดทุน
คาดว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นและค่าเงินของประเทศเกิดใหม่จะปรับตัว Underperform ประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะสหรัฐฯ แต่ข้อได้เปรียบประการหนึ่งของตลาดหุ้นไทยนั่นก็คือการที่นักลงทุนต่างชาตินั้นถือครองหุ้นเราในระดับที่ต่ำมากแล้ว ไม่ว่าจะพิจารณาทั้งในระยะสั้น กลาง หรือยาวเองก็ตาม ดังนั้นประเมิน Downside ของ SET Index จะไม่รุนแรงเท่ากับช่วงที่เกิดเหตุการณ์ในประเทศ เนื่องจากเพียงแค่การขายของนักลงทุนต่างชาติเพียงฝ่ายเดียว จะไม่มีนัยสำคัญเท่ากับกรณีที่แรงขายเกิดขึ้นจากนักลงทุนในประเทศแบบพร้อมเพียงกัน ประเมิน Downside ของดัชนีในช่วงที่เหลือของปีนี้อยู่ที่ 1430-1450 จุด หากดัชนีลงไประดับนี้จริง มองเป็นจุดเพิ่มน้ำหนักการลงทุนที่สำคัญ
สำหรับมุมมองที่มีต่อตลาดหุ้นไทย มองว่าหุ้นขนาดใหญ่มีแนวโน้มกลับมา Underperform ตลาดไปจนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากคาดการณ์กระแส Fund flow คงจะไม่ได้ไหลเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญแล้วและมองว่ายังมีปัจจัยกดดัน Fund flow ถัดไปที่รออยู่ได้แก่ความเป็นไปได้ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม
สำหรับแรงซื้อกองทุน LTF/RMF ในช่วงสุดท้ายของปีนั้นมองว่าคงไม่มีผลกระทบต่อดัชนีอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากความต้องการของนักลงทุนที่อาจลดลงจากระยะเวลาการถือครองที่นานมากขึ้นและระดับ Valuation ของตลาดที่สูง รวมถึงการที่นักลงทุนสถาบันอาจเก็บเงินสดไว้บางส่วนเพื่อรองรับการไถ่ถองกองทุน LTF ที่จะครบกำหนดอายุในช่วงต้นปีหน้า
ส่วนปัจจัยเสี่ยงล่าสุดอีกประการหนึ่งได้แก่การปรับตัวขึ้นมาอย่างรุนแรงของ Bond yield สหรัฐฯหลังจากที่นายทรัมป์ได้รับชัยชนะ ซึ่งเป็นไปตามที่เราคาดเนื่องจากนายทรัมป์มีแนวนโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายทางการคลังในระดับสูง และจะทำให้ต้องมีการออกพันธบัตรอย่างมากโดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาวในช่วงถัดไป ล่าสุดBond yield สหรัฐฯอายุ 10 ปีปรับตัวมาอยู่ที่ระดับ 2.0% แล้ว ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ถือเป็นปัจจัยกดดัน SET Index ในมิติของ Earning yield gap ซึ่งล่าสุดเราคำนวณระดับดัชนีที่เหมาะสมจากโมเดลได้เพียง1450 จุดเท่านั้น ดังนั้นที่ระดับดัชนีปัจจุบันต้องถือว่า Downside risk เป็นต่อ Upside potential แล้ว
สำหรับผู้ที่มีหุ้นอยู่ในระดับสูง อาจต้องพิจารณาลดพอร์ทลงมาบางส่วน โดยอาจเลือกขายหุ้นขนาดใหญ่เป็นลำดับแรก แนะนำรอจังหวะให้ SET Index ย่อตัวลงมาก่อน จึงค่อยเข้าสะสมหุ้นรอบใหม่ มองกรอบแนวรับที่น่าสนใจอยู่ที่ 1450 จุด คาดหุ้นขนาดกลาง-เล็กจะกลับมา Outperform ตลาดอีกครั้ง โดยมองธีมการลงทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้าที่คาดว่าจะผันผวนน้อยกว่าตลาด เช่น BPP, GPSC, TPCH , กลุ่มก่อสร้าง เช่น SEAFCO และกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก CLMV เช่น ALT, GL