กรุงเทพฯ--10 พ.ย.--เมืองไทยประกันภัย
บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการเก้าเดือนของปี 2559 ด้วยเบี้ยประกันภัยรับรวมที่สูงถึง 9,009 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ 10.7 และมีกำไรและรายได้จากการลงทุนสูง 386 ล้านบาท พร้อมเตรียมขยายการเติบโตไปยังกลุ่ม CLMV ผ่านการลงทุนในรูปแบบ JV และ Representative office
นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานสำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุด 30 กันยายน 2559 ของบริษัทฯ ซึ่งมีผลประกอบการเบี้ยประกันภัยรับรวมเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยผลประกอบการสำหรับงวดเก้าเดือนของปี 2559 บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 9,009 ล้านบาทสูงขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2558 คิดเป็นร้อยละ 10.7 เป็นผลมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของผลิตภัณฑ์ประกันภัยรายย่อยในกลุ่มประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลและประกันภัยรถยนต์ทั้งภาคสมัครใจและภาคบังคับ ที่มีการเติบโตกว่าร้อยละ 10 นอกจากนี้มีงานประกันภัยเบ็ดเตล็ดที่ขยายตัวสอดคล้องกับงานด้านสาธารณูปโภคของรัฐในโครงการต่างๆ เบี้ยประกันที่ถือเป็นรายได้สำหรับปีมีจำนวน 5,042 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 362 ล้านบาท นอกจากนี้รายได้ค่าจ้างและบำเหน็จก็ยังเพิ่มขึ้น 169 ล้านบาทสืบเนื่องมาจากการเอาประกันภัยต่อที่เพิ่มขึ้นตามยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง กำไรและรายได้จากการลงทุนมีจำนวน 368 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 30 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 8.2 เป็นผลจากการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนให้สมดุลระหว่างรายได้เงินปันผล ดอกเบี้ย และกำไรขายหุ้นตามจังหวะเวลาและโอกาสที่สามารถทำกำไรได้ กำไรสุทธิของบริษัทฯปรับตัวลดลงเป็นผลจากค่าใช้จ่ายสินไหมที่เพิ่มขึ้นมากเนื่องจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติเช่นลมพายุ ในไตรมาส 2 และน้ำท่วมในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาอีกทั้งมีอุบัติภัยเช่นอัคคีภัยรายใหญ่หลายราย
ทั้งนี้บริษัทฯ ยังมีการขยายการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้านตามแผนการขยายธุรกิจของบริษัทฯ โดยมีการเปิดบริษัท เอสทีเมืองไทยประกันภัย จำกัด (ST-Muang Thai Insurance Co., Ltd.) ร่วมกับ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท เมืองไทยโฮลดิ้ง จำกัด และ S.T. Group Co., Ltd. ผู้ประกอบธุรกิจธนาคาร ST Bank ใน สปป.ลาว เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา และกำลังเตรียมการขออนุญาตเปิด สำนักงานผู้แทน (Representative Office) ที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ และคาดว่าจะเปิดได้ในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า นอกจากนี้ บริษัท ยังมีการศึกษาและวางแผนการลงทุนที่ประเทศอื่นๆ ได้แก่ ประเทศกัมพูชาและเวียดนาม เพื่อสร้างการเติบโตให้แข็งแกร่ง และใช้จุดเด่นในการสร้างฐานพันธมิตรและรูปแบบธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ไปยังประเทศเหล่านั้นด้วย