กรุงเทพฯ--10 พ.ย.--อินโดรามา เวนเจอร์ส
- ปริมาณการผลิตรวม 2.38 ล้านตันสูงเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22
- อัตรากำไรหลักต่อหุ้นในไตรมาสนี้อยู่ที่ 0.55 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 65 เมื่อเทียบปีต่อปี
- อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 14.8 และมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุน (ROCE) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 11.4
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ ไอวีแอล ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก ประกาศผลประกอบการณ์ในไตรมาสที่ 3 ปี 2559 มีกำไรหลักสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม (Core Profit after tax and non-controlling interests) อยู่ที่ 2.85 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 57 เมื่อเทียบปีต่อปี มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3.2 พันล้านบาท รวมรายการพิเศษ หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 564 เนื่องจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจวัตถุดิบจากการเข้าซื้อกิจการล่าสุดในประเทศสหรัฐอเมริกาและสเปน การเพิ่มขึ้นของอัตราการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 89 บริษัทฯ มีการรับรู้กำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 7.5 พันล้านบาท และธุรกิจยังคงมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุน (ROCE) เป็นตัวเลขสองหลักอย่างต่อเนื่อง
นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) กล่าว "เรายังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในทุกกลุ่มธุรกิจ แม้ตลาดจะมีความผันผวน แต่ความต้องการผลิตภัณฑ์ของเรายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ สะท้อนให้เห็นถึงการมีกลยุทธ์การดำเนินงานที่ดี ซึ่งสร้างการเติบโตและผลกำไรอย่างต่อเนื่อง ฐานะทางการเงินของเรายังคงแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งทั้งจากธุรกิจปัจจุบันและธุรกิจที่เพิ่งเข้าซื้อและการใช้เงินทุนหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ ผมมั่นใจว่า เราสามารถดำเนินการบรรลุเป้าหมายตามแผนปี 2561 ที่ตั้งไว้"
นายอาลก กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจทั่วโลกว่า "ธุรกิจของเราในอเมริกาเหนือยังคงรักษาผลการดำเนินงานที่ดีกว่าภูมิภาคอื่นๆ อย่างต่อเนื่องและมีการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยมีปริมาณการผลิตรวม เติบโตร้อยละ 33 ซึ่งเป็นผลจากการเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการของบริษัท BP การปรับปรุงอัตราการผลิตและการบูรณาการที่เพิ่มขึ้น โครงการก๊าซแครกเกอร์เป็นไปตามแผนและคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2560 ซึ่งจะทำให้เกิดการบูรณาการเพิ่มเติมในภูมิภาค ครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์และผลตอบแทนจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้นอีกด้วย"
"ภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น โดยมีปริมาณการผลิตรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 ในช่วงสิบสองเดือนสิ้นสุดไตรมาสที่ 3 ปี 2559 ในทุกกลุ่มธุรกิจแม้ว่าเงินยูโรจะอ่อนค่าลง ตัวเลข EBITDA ต่อตันเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) สำหรับเอเชียมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบปีต่อปี" นายโลเฮีย กล่าวสรุป
การวางแผนกลยุทธ์ของอินโดรามา เวนเจอร์สในสภาวะที่ตลาดมีความยากลำบาก เนื่องจากภาวะอุปทานส่วนเกินในเอเชีย นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน บริษัทฯ มีปริมาณการผลิตรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 โดยมีปัจจัยหลักจากการบูรณาการที่เพิ่มขึ้นและปริมาณการผลิตวัตถุดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 44
การเพิ่มการบูรณาการและยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจ ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA) เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ อยู่ที่ 25.48 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 เมื่อเทียบช่วงสิบสองเดือนสิ้นสุดไตรมาสที่ 3 ปี 2559 ธุรกิจเส้นใยมีการเติบโต โดยมี Core EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 เมื่อเทียบปีต่อปี อันเป็นผลจากปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง ในขณะที่กลุ่มธุรกิจ PET มีการเติบโตร้อยละ 9 เมื่อเทียบปีต่อปี ธุรกิจวัตถุดิบเติบโตร้อยละ 13 เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากกิจการที่เข้าซื้อล่าสุดในสหรัฐและสเปน
นอกจากนี้ กำไรหลักต่อหุ้นหลังหักดอกเบี้ยจ่ายสำหรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ยังเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.67 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 59 ในช่วงสิบสองเดือนสิ้นสุดไตรมาสที่ 3 ปี 2559
ช่วงสิบสองเดือนสิ้นสุดไตรมาสที่ 3 ปี 2559 บริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากโรงงานใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในสหรัฐและสเปนในเพียงสองไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทฯ คาดว่า การบูรณาการจากการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวจะสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นและจะได้รับประโยชน์จากการเกื้อหนุนเพิ่มเติมในอนาคต