(ต่อ1) วอเนอร์ เสนอเรื่องย่อภาพยนตร์ ROBOTS

ข่าวเทคโนโลยี Tuesday March 8, 2005 11:52 —ThaiPR.net

เทคโนโลยีชั้นนำระดับแนวหน้าของสตูดิโอบลูสกายช่วยให้ฝ่ายวัสดุอุปกรณ์ สามารถสร้างสรรค์ตัวละครต่างๆและโลกของพวกเขาให้มีชีวิตขึ้นมาได้ Ray Tracing Renderer เป็นเทคโนโลยีที่มหัศจรรย์อย่างหนึ่งของบลูสกายซึ่งทำหน้าที่ปรับแสงเพื่อให้ได้ภาพที่เหมือนจริง นอกจากนี้ทางบริษัทได้สร้างการแลกเปลี่ยนทางเวปไซต์เพื่อให้นักออกแบบทั้งหลายสามารถแลกเปลี่ยนส่วนต่างๆของหุ่นยนต์กันได้ และยังมีโปรแกรมที่จะสร้างหุ่นยนต์ซึ่งอยู่ในฉากระยะไกลเพื่อให้ได้สัดส่วนความตื้นลึกที่เหมาะสมของฉากนั้นๆเพื่อให้ได้หุ่นยนต์ “ตัวประกอบ” ทั้งหลายอยู่ในฉากด้วย
ขอต้อนรับสู่นครหุ่นยนต์
ผู้สร้างภาพยนตร์ได้สร้างสรรค์นครหลวงแห่งเครื่องจักรกลขึ้นมาเป็น นครหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีของความฝันและโชคชะตาของร็อดนีย์ เป็นเมืองที่มีหลายระดับ มีโครงสร้างเป็นแนวตั้งเป็นถิ่นที่อยู่ของหลายๆชนชั้นทางสังคม
ส่วนล่างสุดของนครหุ่นยนต์เป็นส่วนที่เสื่อมโทรมสกปรก เป็นยุคก่อนอุตสาหกรรมของมาดามแกสเค็ทและร้านชำแหละของเธอ (Chop Shop) ลักษณะของส่วนนี้จะเป็นโครงสร้างเสาขนาดใหญ่ ระดับต่อมาเราจะพบกับเมืองของแก๊งค์ รัสตี้ส์ (Rusties) หุ่นยนต์ชนชั้นธรรมดาทั่วไปที่พยายามต่อสู้กับชีวิต ส่วนของนครระดับนี้มีบรรยากาศอบอุ่น มีสีสัน มีชีวิตชีวา และประกอบไปด้วยชิ้นส่วนต่างๆที่ไม่น่าเข้ากันได้ ขึ้นมาอีกสองสามระดับ คือส่วนบนสุดของนครหุ่นยนต์ ที่อยู่อาศัยทำมาหากินของหุ่นยนต์ชนชั้นกลาง เป็นส่วนที่หรูหรา เงาวับ มีกลิ่นของความสำเร็จ และธุรกิจต่างๆ สีสันจะค่อนข้างเย็นๆเงาๆ ชั้นนี้เป็นชั้นที่หุ่นยนต์ระดับแนวหน้าใช้ชีวิตอยู่
มาร์ติโน (Martino) กล่าวว่า “นครหุ่นยนต์มีสภาพแวดล้อมเหมือนสังคมเมืองใหญ่ทั่วๆไป” “ได้รับอิทธพลจากการออกแบบหลายๆยุค จาก Art Deco ไปจนถึงยุค 50 แห่งนวัตรกรรมเครื่องยนต์ และยุคต่อไปเป็นการออกแบบที่ดูปราดเปรียวล้ำสมัย”
นครหุ่นยนต์ประกอบไปด้วยหลายระดับด้วยกัน ผังแนวตั้งของเมืองได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ นาฬิกาพก มาร์ติโนกล่าวว่า “ด้านหลังของนาฬิกาพกนั้นสวยมากๆคุณสามารถมองเห็นทุกๆชิ้นส่วนของนาฬิกาทำงาน” “เราอยากให้ทุกคนเห็นกลไกการทำงานภายในโลกของเรา”
เรื่องโรบอทส์นำเสนอมิติที่ไม่ธรรมดาที่เราคาดไม่ถึงของสิ่งของธรรมดาๆ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสิ้นสุดวันทำงานอันแสนเหน็ดเหนื่อย เสาไฟที่ส่องแสงให้กับถนนหนทางก็ก้มลงหยิบกล่องข้าวแล้วก็วิ่งกระยองกระแยงกลับบ้าน หรือเสาน้ำดับเพลิงจะไล่สุนัขที่กำลังจะกระทำภารกิจใส่เขา จอยซ์อธิบายว่า “เรานำสิ่งธรรมดาๆในโลกของเราและพยายามใส่ชีวิตจิตวิญญาณให้มันด้วยวิธีที่น่าสนใจและตลกขบขัน”
นครหุ่นยนต์มีมุขสนุกๆในแบบของ โกลด์เบิรก์ (Rube Goldberg) อยู่เพียบ ดูอย่างเช่น “Crosstown Express” ซึ่งเป็นระบบการคมนาคมอันซับซ้อนของเมืองที่มีแต่ความตื่นเต้นสนุกสนาน เมื่อ ร็อดนีย์เดินทางมาถึงนครหุ่นยนต์ เขาก็ใช้บริการ Crosstown Express โดยที่เขาคิดว่าก็คงเป็นการเดินทางแบบปกติๆไปยังบริษัทบิ๊กเวลด์ แต่ที่ไหนได้กลับกลายเป็นประสบการณ์การเดินทางที่ตื่นเต้นเร้าใจเป็นที่สุด
วิลเลี่ยม จอยซ์นึกถึงที่มาที่ไปของฉากนั้นว่า “คริส เวจ กับผมนึกว่าจะให้หุ่นยนต์ของพวกเราไปไหนมาไหนยังไง ผมเป็นคนคิดว่าต้องเป็นกระสวยกลมๆที่ได้แรงบันดาลใจมาจากของเล่นเก่า” จอยซ์บอกว่าฉากที่มียานพาหนะนั้นจะทำให้ทุกคนสนุกสนาน “ผู้ใหญ่เองจะชอบความโบราณของกระสวยส่วนเด็กๆของชื่นชอบประสบการณ์ใหม่ๆที่ตื่นเต้นเร้าใจ”
POST-PRODUCTION
การตัดต่อ การออกแบบเสียง และดนตรีนั้นเป็นส่วนประกอบสำคัญต่อขั้นตอนหลังการผลิตเป็นอย่างมาก นักประพันธ์เพลง จอหน์ พาวเวล (John Powell) ซึ่งเคยทำงานให้ “Shrek” “Shrek2” “Italian Job” และ “The Bourne Identity” ทำหน้าที่สร้างสรรค์บทเพลงซึ่งเปี่ยมด้วยพลังที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโลกของเครื่องจักรกล
เสียงเครื่องเคาะจากวงชื่อดังอย่าง Blue Man Group เป็นส่วนสำคัญของบทเพลงของ พาวเวล ซึ่งมีลักษณะที่ตื่นเต้น เฉียบคม แต่ก็อบอุ่นและมีจิตวิญญาณ
หัวหน้าฝ่ายดนตรีประกอบ เบ็คกี้ แมนคูโซ ไวน์ดิ้ง (Becky Mancuso-Winding) ผู้ซึ่งรับผิดชอบดนตรีในภาพยนตร์อย่าง “Urban Cowboy” และ “Footloose” ทำงานอย่างใกล้ชิดกับจอห์น พาวเวล แมนคูโซ ไวน์ดิ้งคัดเลือกและนำบทเพลง นักร้องต่างๆมาเข้าร่วมโครงการ เช่น ริคกี้ เฟรนเต้ (Ricky Frente) ศิลปินของค่ายเพลงเวอร์จิ้น ทำหน้าที่ร้องเพลงซิงเกิล “Shine” ซึ่งเป็นบทเพลงที่สะท้อนโครงเรื่องหลักของภาพยนตร์ในแง่ที่หุ่นยนต์ควรจะส่องแสงได้ไม่ว่าจะประกอบมาอย่างไรก็ตาม
เพลงประกอบภาพยนตร์ที่โดดเด่นต่างๆก็มีเพลง “Tell Me What You Already Did” ของ Fountains of Wayne, เพลง “Walkie Talkie Man” ของ Steriogram, เพลง “More to Life” ของ Stacie Orrico, เพลง “Wonderful Night” ของ Fatboy Slim และ เพลง “Love Dance” ของ Earth Wind and Fire
หัวหน้าคุมการตัดต่อเสียงและ re-recording mixer ชอวน์ การ์นฮาร์ท (Sean Garnhart) ซึ่งเคยทำงานเรื่อง ไอซ์ เอจ มาแล้วทำหน้าที่ออกแบบของเสียงต่างๆในโลกหุ่นยนต์และเสียงของตัวละครแต่ละตัวด้วย ความทะเยอทะยานในการออกแบบเสียงของการ์นฮาร์ททำให้ภาพยนตร์มีเสียงที่สดใสน่ารัก การ์นฮาร์ทกล่าวว่า “เป็นโอกาสที่ดีในการใช้เสียงที่ดิบๆซึ่งยังไม่ได้ปรุงแต่ง” “ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่มีบทสนทนา เพียงคุณหลับตาฟังเสียงคุณก็จะเห็นภาพว่าตัวละครตัวนั้นกำลังทำอะไรอยู่”
ถึงแม้ว่าเรื่องโรบอทส์จะมีฉากอยู่ในโลกจักรกล ทีมงานหลีกเลี่ยงที่จะใช้เสียงโลหะหรือเสียงสะท้อนต่างๆโดยเลือกที่จะใช้เสียงที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นมากกว่า คริส เวจกล่าวว่า “ถ้าคุณทำให้ทุกอย่างบนจอมีเสียงก๊องๆแก๊งๆเอี๊ยดๆมันคงจะหนวกหูน่าดู” “ไม่มีใครอยากได้ยินชิ้นส่วนโลหะกระทบกับตลอดเวลาหรอก”
ส่วนสำคัญในขั้นตอนหลังการผลิตอีกขั้นตอนหนึ่งก็คือการทำ remastering แบบดิจิตอลของหนังเรื่อง โรบอทส์เพื่อให้ได้คุณสมบัติของภาพและเสียงของ IMAX โดยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของ IMAX DMR (Digital Re-mastering) ภาพยนตร์เรื่อง โรบอทส์จะเข้าฉายในโรง IMAX ด้วยนอกเหนือจากฉายในโรงภาพยนตร์ธรรมดา
นี่เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สองของทเวนตี้ส์ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ซึ่งทำเป็นแบบ IMAX DMR ภาพยนตร์เรื่องแรกคือภาพยนตร์ของ ลูคัสฟิล์ม (Lucasfilm) เรื่อง “Star Wars: Episode II Attack of the Clones: The IMAX Experience” ซึ่งออกฉายเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2002
โรงภาพยนตร์ IMAX ทำให้ผู้ชมภาพยนตร์เข้าสู่ห่วงแห่งความมหัศจรรย์ด้วยภาพที่คมชัดเข้มข้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ความตื่นเต้นและการผจญภัยของเรื่องโรบอทส์จะปรากฏอยู่บนจอสูงถึงตึกแปดชั้น กว้าง 120 ฟุต ล้อมรอบไปด้วยเสียงระบบดิจิตอล 1,200 วัตต์ (จอ IMAX นั้นขนาดใหญ่กว่าขอภาพยนตร์มาตรฐาน 35 มม. ถึงสามเท่า ใหญ่กว่าโทรทัศน์ธรรมดาถึง 4,500 เท่า และกว้างเท่ากับขนาดสนามฟุตบอล NFL) เพื่อให้ครอบคลุมผู้ที่เขามาชมในโรงทุกๆคน การนำเสนอนั้นอยู่ในรูปแบบสเตริโอเซอร์ราวน์หกช่องเสียงประกอบด้วยลำโพงที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ 44 ตัวซึ่งทำหน้าที่สกัดเสียงเซอร์ราวน์ดิจิตอลกว่า 1,200 วัตต์ ระบบขยายเสียงแบบ Proportional Point Source ของ IMAX นั้นออกแบบมาเพื่อโรงภาพยนตร์ IMAX โดยเฉพาะเพื่อให้ได้เสียงที่เปี่ยมคุณภาพไม่ว่าคุณจะนั่งตำแหน่งใดในโรงก็ตาม (สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IMAX, เทคโนโลยี IMAX DMR และ The IMAX Experience กรุณาเยี่ยมชม เวปไซต์ www.IMAX.com)
คริส เมเลแดนดริกล่าวว่า “เรื่อง โรบอทส์จะต้องตระการตามากๆบนจอ IMAX” “แค่ภาพตอนทดลองฉายก็สุดยอดแล้ว ผมดีใจมากๆกับการจับมือร่วมงานกันครั้งนี้และผมก็ตื่นเต้นที่จะได้ทำงานกับ IMAX เพื่อที่จะให้ได้ภาพยนตร์ที่สมบูรณ์โดยผ่านกระบวนการที่ไม่เหมือนใครของIMAX”
ด้วนความมหัศจรรย์ของกระบวนการผลิตภาพยนตร์ต่างๆที่คริส เวจและทีมงานของเขาหยิบมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นคนเขียนบท นักออกแบบ ศิลปิน มีงานเอนิเมชั่น และนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเหล่านี้ โรบอทส์เลยกลายเป็นปรากฏการณืที่โดดเด่นแตกต่างจากภาพยนตร์เอนิเมชั่นต่างๆทั่วไป ถึงแม้ว่าโลกที่มหัศจรรย์หรือหุ่นยนต์ที่น่าประทับใจทั้งหลายนี้จะล้วนมาจากจินตนาการ เราก็รู้สึกว่ามันเหมือนจริง
“ในที่สุดแล้ว” คริส เวจ กล่าวถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ “ผมอยากให้คนดูรู้สึกและนึกว่าเรื่อง โรบอทส์ นั้นเราได้ยกกองถ่ายที่นครหุ่นยนต์ ถ่ายทำที่นั่น และนำภาพกลับมาให้สตูดิโอบลูสกายจัดการภาพอีกที ผมอยากจะหว่านล้อมให้ผู้ชมเชื่อว่านครหุ่นยต์มีอยู่จริงและตัวละครทั้งหลายจะไปปรากฏตัวที่งานฉลองภาพยนตร์รอบแรกในเดือนมีนาคมนี้”
พบกับนักแสดง
EWAN McGREGOR
อีแวน แม็คเกรเกอร์ (ร็อดนีย์ ค็อปเปอร์บอททอม) เกิดเมื่อปี 1971 ที่เมืองคริฟ สก็อตแลนด์ ถึงแม้ว่าเขาจะเติบโตขึ้นที่เมืองเล็กๆ เขาก็เริ่มให้ความสนใจกับการแสดงตั้งแต่เด็ก โดยได้แรงบันดาลใจจากคุณลุง เดนิส ลอว์ซัน (Denis Lawson) ซึ่งเป็นนักแสดง (โด่งดังจากเรื่อง “Local Hero” และ “Star Wars”)
หกเดือนก่อนที่เขาจะจบการศึกษาจากโรงเรียนสอนดนตรีและการแสดง London’s Guildhall School of Music and Drama แม็คเกรเกอร์ก็ไดัรับการเสนอบทแสดง Private Mick Hopper รายการโทรทัศน์ “Lipstick on Your Collar” ซึ่งเป็นแนวเพลงตลก 6 ตอนของเดนิส พ็อตเตอร์
(Denis Potter) (ผลิตรายการโดย โรสมารี วิทแมน Rosemarie Whitman) ไม่นานหลังจากการแสดงครั้งแรกแม็คเกร์เกอร์ก็ได้รับบทภาพยนตร์เรื่องแรกใน “Being Human” ของบิล ฟอร์ไซธ์ (Bill Forsyth) ซึ่งโปรดิวเซอร์ลอร์ดเดวิด พัทแนม (Lord David Puttnam) ประทับใจความสามารถของ แม็คเกรเกอร์จนเพิ่มฉากให้แสดงกันสดๆเลย
หลังจากที่ได้รับบทละคะเวที “What the Butler Saw” และแสดงในงานผลิตของ BBC เรื่อง “Scarlet and Black” แม็คเกรเกอร์ก็ได้แสดงนำในเรื่อง “Shallow Grave” ซึ่งได้รับรางวัล BAFTA จุดที่เองที่ทำให้นักแสดงชาวสก็อต์คนนี้โด่งดังขึ้นมาทันที การแสดงบทอเล็กซ์ ลอว์ (Alex Law) ทำให้เข้าได้รับรางวัล Hitchcock D’Argent นักแสดงยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA Scotland สาขานักแสดงยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังได้โอกาสวางรากฐานอันแนบแน่นกับผู้กำกับ แดนนี่ บอยล์ (Danny Boyle) แม็คแกรเกอร์ได้รับบทแสดงนำชายบทแรกกับภาพยนตร์แนวอิโรติก “The Pillow Book” ของผู้กำกับหนัง ปีเตอร์ กรีนเวย์ (Peter Greenway)
ถึงแม้ว่าการแสดงใน “Shallow Grave” จะทำให้แม็คเกรเกอร์โด่งดังขึ้นมา แต่บทที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักระดับโลกคือการแสดงบท มาร์ค เรนตัน (Mark Renton) ในเรื่อง “Trainspotting” ของนักประพันธ์ เออร์ไวน์ เวลช์ (Irvine Welsh) ในการเตรียมตัวเพื่อแสดงบทดังกล่าว แม็คเกรเกอร์เข้าไปคลุกคลีกับคนเคยติดยาหลายคนซึ่งช่วยให้เขาเข้าใจว่าคนที่ติดยาต้องเผชิญอะไรบ้างขณะที่ติดหรือการเลิกยา “Trainspotting” ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติไม่น้อยเลยทีเดียว เช่น BAFTA Scotland สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ส่วนแม็คเกรเกอร์ได้รับรางวัลสรรเสริญ BAFTA Scotland สาขานักแสดงยอดเยี่ยม และในปีต่อมาหนังสือ Empire ยกตำแหน่งนักแสดงชายยอดเยี่ยมให้กับเขา นอกจากนั้นเขาก็ได้รับรางวัล London Film Critic’s Circle อีกด้วย
หลังจากความสำเร็จจากภาพยนตร์เรื่อง “Trainspotting” แม็คเกรเกอร์ก็ได้แสดงคู่กับเกว็นเนธ เพาว์โทรว์ (Gwyneth Paltrow) ในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายเรื่อง “Emma” โดยนักประพันธ์ เจน ออสเตน (Jane Austen) ต่อมาเขาก็ได้แสดงคู่กับทาร่า ฟิตซ์เจอร์รัลด์ (Tara Fitzgerald) ในภาพยนตร์เรื่อง “Brassed Off” ที่ได้รับรางวัล Cesar Award ของมาร์ค เฮอร์แมน (Mark Herman) ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวตลกปนเศร้าโศกเกี่ยวกับวงดนตรีเครื่องแตรในชุมชนเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งโดนคุกคามจากปัญหาทางการเมืองซึ่งเกิดมาจากการสั่งปิดเหมืองถ่านหินในยุค 1980
ภาพยนตร์อเมริกันเรื่องแรกของแม็คเกรเกอร์คือเรื่อง “Nightwatch” ซึ่งเขาได้รับบทแสดงนำเป็น มาริน เลโลส (Marin Belos) ซึ่งเป็นนักเรียนกฎหมายซึ่งทำงานพิเศษเป็นสับเหร่อตอนกลางคืน ต่อมาเขาก็ได้บทรับเชิญต่างๆในละครซีรีส์ของ BBC เช่น “Karaoke” และ “Cold Lazarus” ซึ่งบทเหล่านี้ทำให้เขาได้กลับมาแสดงที่อังกฤษอีกครั้งก่อนที่จะได้แสดงนำเป็นศิลปินออกแบบสวนรูปหล่อชาวดัชในภาพยนตร์เรื่อง “The Serpent’s Kiss” ของฟิลลิปเป รูสเซล็อต (Philippe Rousselot)
หลังจากที่เขาแสดงในภาพยนตร์สั้นของผู้กำกับจัสติน แชดวิค เรื่อง “Swimming with Fishes” แม็ดเกรเกอร์กับจับมือกับแคมารอน ดิแอซ (Cameron Diaz) เพื่อแสดงภาพยนตร์รักแนวตลกขบขันเรื่อง “A Life Less Ordinary” และเรื่องนี้เองทำให้เขาได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ แดนนี่ บอยล์ ซึ่งบท โรเบิร์ตที่เขาแสดงทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงชาวอังกฤษยอดเยี่ยมในปี 1997 จากรางวัล Empire Movie Award ซึ่งก็เป็นปีที่สามติดต่อกัน
แม็คเกรเกอร์ได้รับรางวัล Emmy จากการเป็นนักแสดงรับเชิญให้กับเรื่อง “ER”ด้วย นอกจากนี้เขายังเคยแสดงเป็นนักดนตรีวงร็อคบ้าระห่ำยุค 70 ในภาพยนตร์เรื่อง “Velvet Goldmine” ซึ่งผลิตโดย ไมเคิล สไตป์ (Michael Stipe) แห่งวง REM ต่อมาเขาได้รับบทเป็นพ่อค้านิค ลีซัน (Nick Leeson) คู่กับแอนนา ฟริล (Anna Friel) ในเรื่อง “Rogue Trader” แล้วเขาก็กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับมาร์ค เฮอร์แมน ซึ่งเคยกำกับเรื่อง “Brassed Off” ในภาพยนตร์เรื่อง “Little Voice” ซึ่งได้รับรางวัล Golden Globe” เจน ฮาร์ร็อคส์ (Jane Harrocks) และไมเคิล เคน (Michael Caine) ร่วมแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
แม็คเกรเกอร์ได้รับแสดงบทซึ่งเป็นที่โหยหา โอบิวัน เคโนบิ (Obi-Wan Kenobi) ในเรื่อง “Star Wars: Episode I The Phantom Menace” และเขาก็ได้แสดงบทเดิมต่อมาใน “Star Wars: Episode II Attack of the Clones” ซึ่งในอนาคตเขาก็จะแสดงเป็น โอบิวัน เคโนบิ อีกครั้งในเรื่อง “Star Wars: Episode III Revenge of the Sith” ซึ่งมีกำหนดออกฉายเดือนพฤษภาคม 2005
ในปี 1998 เขาก่อตั้งบริษัท Natural Nylon กับเพื่อนๆเขาเช่น จูด ลอว์ (Jude Law) เซดี้ ฟรอสท์ (Sadie Frost) จอนนี่ ลี มิลเลอร์ (Jonny Lee Miller) และ ชอว์น เพิร์ทวี (Sean Pertwee) ซึ่งแม็คเกรเกอร์ก็ได้ร่วมผลิตเรื่อง “Nora” เป็นเรื่องราวของความรักระหว่าง เจมส์ จอยซ์ (แสดงโดยอีแวน แม็คเกรเกอร์) กับ โนร่า บาร์นาเคิล (แสดงโดยซูซาน ลินช์)
ในภาพยนตร์ประเภทเพลงซึ่งได้รับรางวัลออสการ์และรางวัล BAFTA เรื่อง “Moulin Rouge!” ของบาซ ลูห์แมน (Baz Luhrman) แม็คเกรเกอร์แสดงเป็น คริสเตียน (Christian) นักกวีที่ตกหลุมรักกับ ซาติน (Satine ซึ่งแสดงโดยนิโคล คิดแมน) โสเภณีชั้นสูงซึ่งพำนักอยู่ในโลกอันตลกปนเศร้าของ Moulin Rouge ด้วยบทเพลงจากเพลงป๊อปในศตวรรษที่20 ในปี 2001 แม็คเกรเกอร์แสดงเป็นผู้เชียวชาญทหารบกของภาพยนตร์เรื่อง “Black Hawk Down” ของริดลีย์ สก็อต (Ridley Scott)
ปี 2003 แม็คเกรเกอร์แสดงภาพยนตร์แนวสยองขวัญเรื่อง “Young Adam” ซึ่งดัดแปลงมา จากนวนิยายของชาวสก็อต อเล็กแซนเดอร์ ทรอชชิ (Alexander Trocchi) เรื่องราวเกิดขึ้นที่คลองระหว่างกลาสโกว์และเอดินเบิร์ก แม็คเกรเกอร์แสดงเป็น โจ เด็กซึ่งล่องลอยแล้วไปได้งานทำที่ท่าเรือของ เลส (แสดงโดยปีเตอร์ มัลเลน) และภรรยา เอลลา (แสดงโดยทิลดา สวินตัน)
ในปีเดียวกันนี้เขาก็ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Big Fish” ของทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) เป็นหนังแนวแฟนตาซีที่เล่าเรื่องย้อนหลังเกี่ยวกับชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังจะตาย อัลเบิร์ต ฟินนี่ (Albert Finney) เจสสิก้า แลงค์ (Jessica Lange) และบิลลี่ ครัดดัพ (Billy Crudup) ร่วมแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ส่วนในปี 2004 แม็คเกรเกอร์ร่วมแสดงกับเรเน่ เซลเวงเกอร์ ในภาพยนตร์แนวรักโรแมนติคคอมเมดี้ของฟ็อกซ์เรื่อง “Down with Love” และเขาก็เพิ่งถ่ายทำหนังแอคชั่นเรื่อง “The Island” ของผู้กำกับไมเคิล เบย์ไปเมื่อเร็วๆนี้
แม็คเกรเกอร์ได้แสดงในละครเวทีของ เดวิค ฮาลิเวลล์ (David Haliwell) เรื่อง “Little Malcolm and His Struggle Against the Eunuchs” ซึ่งทำให้เขาได้กลับมาทำงานกับลุงของเขา เดนิส ลอว์สันซึ่งเป็นผู้กำกับการแสดงที่โรงละคร Hampstead และ Comedy Theatres แม็คเกรเกอร์ยังได้แสดงบทกิตติมศักดิ์ใน “The Play I Wrote” ซึ่งเป็นผลงานเพื่อฉลองความสำเร็จของสมาคมตลกอังกฤษ British comedians Morecambe and Wise
นักแสดงสาวเจ้าของรางวัลออสการ์ ฮัลลี่ เบอร์รี่ Halle Berry (แค็ปปี้) ยังคงมุ่งมั่นทำงานต่อไปเพื่อความสำเร็จในหน้าที่การงานที่นักแสดงทุกคนใฝ่ฝัน
เมื่อไม่นานมานี้เบอร์รี้ได้รับบทแสดงนำในเรื่อง แคทวูแมน (Catwoman) และนำแสดงในภาพยนตร์เขย่าขวัญเชิงจิตวิยาเรื่อง Gothika ในฤดูร้อนปี 2003 เธอได้กลับมารับบท สตอร์ม (Storm) ใน X-เม็น2 ซึ่งเป็นภาคต่อของภาพยนตร์ยอดฮิต X-เม็น ที่ทำรายได้มากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในปี 2002 เบอร์รั่บบทเป็น จิงซ์ (Jinx) ในภาพยนตร์เจมส์ บอนด์เรื่อง ดาย อนัทเธอร์ เดย์ 007 พยัคฆ์ร้ายท้ามรณะ กับเพียร์ซ บรอสแนน ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นตอนที่ 20 เพื่อฉลองครบรอบ 40 ปีและเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดเท่าที่ภาพยนตร์บอนด์เคยทำมาด้วยการแสดงอันยอดเยี่ยมของเธอในภาพยนตร์เรื่อง Monster’s Ball เธอได้รับรางวัลออสการ์ SAG Award รางวัล Berlin Silver Award และเธอได้รับแต่งตั้งให้เป็นนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมโดย National Board of Review เธอคุ้นเคยกับการได้รับรางวัลสรรเสริญเป็นอย่างดีจากภาพยนตร์ที่โด่งดังยอดเยี่ยมซึ่งฉายในโทรทัศน์ของ HBO เรื่อง Introducing Dorothy Dandridge ซึ่งเธอผลิตเองด้วย เบอร์รี่ได้รับรางวัลเอมมี่, โกลเดน โกลบ, รางวัล SAG, รางวัล NAACP Image Award
นักวิจารณ์และผู้ชมภาพยนตร์เริ่มสังเกตเห็นการแสดงของเบอร์รี่ครั้งแรกในภาพยนตร์ของ สไปค์ ลี (Spike Lee)เรื่อง “Jungle Fever” ต่อมาเธอได้แสดงคู่กับ วอร์เรน เบ็ตตี้ (Warren Beatty) ในภาพยนตร์ตลกเสียดสีสังคมเรื่อง Bulworth ภาพยนตร์อื่นๆที่เธอแสดงคือ Losing Isaiah ซึ่งแสดงร่วมกับ เจสสิกา แลงก์ (Jessica Lange) เรื่อง Executive Decision (ซึ่งเธอได้รับรางวัล Blockbuster สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมภาพยนตร์แอคชั่น)
เรื่อง The Flintstones ภาคที่คนจริงแสดง, เรื่อง The Last Boy Scout, เรื่อง Strictly Business, ภาพยนตร์ของ เรจินาลด์ ฮัดลิน (Reginald Hudlin) เรื่อง Boomerang ซึ่งแสดงกับ เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ (Eddie Murphy) และเรื่อง Swordfish แสดงกับ จอห์น ทราวอลต้า (John Travolta) และ ฮูวจ์ แจ็ตแมน (Hugh Jackman)
ในจอแก้ว เบอร์รี่แสดงนำในละครซีรี่ส์ที่โด่งดังของ ABC เรื่อง Oprah Winfrey Presents: The Wedding กำกับโดย ชาร์ลส์ เบอร์เน็ต (Charles Burnett) ผลงานทางโทรทัศน์อื่นๆของเธอคือบทนำในละครซีรี่ส์ ของอเล็กซ์ เฮลี่ (Alex Haley) เรื่อง Queen ซึ่งเป็นภาคต่อที่ได้รับเรตติ้งดีที่สุดในประวัติศาสตร์ การแสดงของเธอในเรื่องนี้ทำให้เธอได้รับรางวัล NAACP Image Award เป็นครั้งแรกสาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม และรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจาก Hollywood Women’s Press Club
เธอแสดงคู่กับ จิมมี่ สมิท (Jimmy Smit) ภาพยนตร์ของโชว์ไทม์ (Showtime) เรื่อง Solomon and Sheba และเธอก็ปรากฏตัวในภาพยนตร์ของ วินฟรี (Winfrey) เรื่องล่าสุด Their Eyes Were Watching God ของ ABC
ในการได้รับการสรรเสริญความสำเร็จในสาขาการแสดง มูลนิธิฮาร์วาร์ด Harvard Foundation แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ยกย่องให้เธอเป็นศิลปินสาขาวัฒนธรรมแห่งปีด้วย และปัจจุบันนี้เธอเป็นโฆษกระหว่างประเทศของเรฟลอน (Revlon) ด้วย
โรบิน วิลเลี่ยมส์ (Robin Williams) ทำให้โลกประทับใจในการแสดงของเขาจากบท Mork from Ork ในซีรี่ส์เรื่อง Mork & Mindy เขาเกิดที่ชิคาโก แต่เติบโตที่มิชิแกนและแคลิฟอร์เนีย ฝึกฝนเรื่องการแสดงที่โรงเรียน Julliard ที่นิวยอร์คภายใต้การดูแลของ จอห์น เฮ้าส์แมน (John Houseman)
นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์และรางวัลแกรมมี่หลายรางวัลคนนี้ ทำงานได้กว้างขวางเกินจินตนาการ ซึ่งวิลเลี่ยมส์ยังคงลับฝีมือต่อไปเรื่อยๆในโครงการงานแสดงของเขาในอนาคต
นอกจากภาพยนตร์เรื่อง โรบอทส์แล้วเขายังแสดงในภาพยนตร์ของไลอ้อน เกทส์ (Lion Gates) เรื่อง House of D ซึ่งกำกับโดย เดวิด ดูคอฟว์นี่ (David Duchovny) ในเนื้อเรื่องวิลเลี่ยส์แสดงเป็นผู้มีปัญหาทางสมองอายุ 40 ปีซึ่งมีเพื่อนเป็นคนส่งของ
เมื่อไม่นานมานี้ วิลเลี่ยมส์ได้ถ่ายทำฉากหลักๆของภาพยนตร์เรื่อง The Big White ของมาร์ค ลอยด์ (Marc Loyd) ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวตลกเสียดสีแสดงร่วมกับ ฮอลลี่ ฮันเตอร์ (Holly Hunter) วู๊ดดี้ ฮาร์เรลสัน (Woody Harrelson) และ จีโอเวนนี่ ไรบีซี่ (Giovanni Ribisi)
ในปี 1997 วิลเลี่ยมส์ได้รับรางวัลออสการ์และ รางวัล Screen Actors Guild สำหรับบท ชอน แม็คไกวร์ นักบำบัดที่รักษาตัวละครอัจฉริยะทางเลขแสดงโดย แม็ท เดมอน (Matt Damon) ในภาพยนตร์ของ กูส แวน ซองค์ (Gus Can Sant) เรื่อง Good Will Hunting ที่ผ่านมาเขาได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมจากเรื่อง The Fisher King, Dead Poet Society และ Good Morning Vietnam วิลเลี่ยมส์ยังได้รับสรรเสริญจาก National Board of Review จากการแสดงร่วมกับ โรเบิร์ต ดิเนโร (Robert Dinero) เรื่อง Awakening
ภาพยนตร์ที่วิล้ลี่ยมแสดงนั้นเป็นหนังใหญ่มากมายเลยทีเดียว ในปี 1993 เขาแสดงในภาพยนตร์ของ คริสโคลัมบัส (Chris Columbus) ในเรื่อง Mrs. Doubtfire ในภาพยนตร์ของ ไมค์ นิโคลส์ (Mike Nichols) เรื่อง The Birdcage ซึ่งเขารับบทเป็น อาร์แมนด์ โกลด์แมน ซึ่งทางทีมนักแสดงก็ได้รับรางวัล SAG ไป
ในปี 1996 ภาพยนตร์เรื่อง The Birdcage และเรื่อง Jumanji ทำรายได้ได้ถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์เดียวกัน ที่สหรัฐอเมริกา
วิลเลี่ยมส์เป็นผู้รับบท ปีเตอร์ แพน และ ปีเตอร์ แบนนิ่ง ในภาพยนตร์เรื่อง Hook ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก และแสดงเป็นนักเรียนแพทย์ที่รักษาคนไข้ด้วยอารมณ์ขันในเรื่อง Patch Adams หนังฟอร์มยักษ์เรื่องอื่นๆคือ Good Will Hunting, Dead Poet Society, Good Morning Vietnam, Flubber และ Aladdin นักจากนั้นวิลเลี่ยมส์ยังได้ร่วมงานกับผู้กำกับระดับมือพระกาฬสองท่าน: คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) และ มาร์ค โรมาเนค (Mark Romanek) กับโนแลน ในภาพยนตร์เรื่อง Insomnia วิลเลี่ยมส์แสดงเป็น วอลเตอร์ ฟินช์ นักประพันธ์ผู้เก็บตัวจากสังคมเป็นผู้ต้องสงสัยในการฆาตกรรมเด็กผู้หญิงในเมืองเล็กๆในอลาสก้าที่ชื่ออินซอมเนีย กับ อัล พาชิโน่ (Al Pacino)
ส่วนการทำงานกับโรมาเนคในภาพยนตร์เรื่อง One Hour Photo วิลเลี่ยมส์แสดงเป็นพนักงานร้านอัดรูปที่มีอาการคลั่งต่อครอบครัวที่อยู่ชานเมือง
เมื่อไม่นานมานี้วิลเลี่ยมส์ได้รับบทเป็น คัทเตอร์ (cutter) (ผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดต่อช่วงชีวิตของคนในประวัติศาสตร์) ในภาพยนตร์เรื่องแต่งเชิงวิทยาศาสตร์ Sci-fi เขย่าขวัญ Final Cut ซึ่งแสดงร่วมกับ มิร่า ซอร์วิโน่ (Mira Sorvino) และ เจมส์ คาวิเซล (James Caviezel)
ผลงานการแสดงภาพยนตร์ยุคแรกๆของวิลเลี่ยมส์ได้แก่ Moscow on the Hudson ของ พอล มาเซอร์สกี้ (Paul Mazursky) ซึ่งเขาได้รับบทเป็นนักดนตรีชาวรัสเซียที่ตัดสินใจเปลี่ยนสัญชาติ และเรื่อง The World According to Garp ของ จอร์จ รอย ฮิล ซึ่งเป็นภพายนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายขายดีของ จอห์น ไอว์ริ่ง (John Irving) เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของนักเขียนคนหนึ่งและแม่ของเขาซึ่งเป็นนักสตรีนิยม วิลเลี่ยมส์เป็นที่รู้จักในวงการภาพยนตร์ครั้งแรกในการแสดงเรื่อง Popeye ของ โรเบิร์ต อัลท์แมน
วิลเลี่ยมส์ส์เริ่มต้นการทำงานเป็นตลกเดี่ยว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในการพูดคนเดียวโดยที่สลับบทพูดไปมาโดยเน้นการเว้นวรรคตอนเกี่ยวกับเรื่องต่างๆที่หลากหลายแตกต่างกันไป เช่นเรื่องการเมือง ประวัติศาสตร์ ศาสนา เชื้อชาติ และเรื่องเพศ วิลเลี่ยมส์สามารถใช้เสียงของเขาเองสร้างตัวละครที่คงอยู่ในความทรงจำของทุกคนในตัวละคร จีนี่ตัวฟ้าแห่งตะเกียงวิเศษ (Blue Genie of the Lamp) ในเรื่อง Aladdin (ซึ่งมอบมุมมองใหม่แห่งวงการการพากย์เสียงตัวละคร)
สำหรับเสียงของรายการเดี่ยวโชว์และเทปสำหรับเด็ก Pecos Bill วิลเวี่ยมส์ได้รับรางวัลแกรมมี่ถึง 5 รางวัลด้วยกัน
การแสดงละครเวทีของวิลเลี่ยมส์ได้แก่ Waiting for Godot ของแซมเวล เบ็คเคท (Samuel Beckett) ซึ่งกำกับการแสดงโดย ไมค์ นิโคลส์ (Mike Nichols) ซึ่งแสดงร่มกับ สตีฟ มาร์ติน (Steve Martin) และล่าสุดละครเล็กที่ซานฟรายซิสโก เรื่อง The Exonerated
นอกจอหรือนอกเวที วิลเลี่ยมส์ยังมีงานการกุศล ช่วเหลือสังคมอีกมากมายจนแทบนับไม่ถ้วน ซึ่งรวมไปถึงเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ สิทธิมนุษยชน การศึกษา การปกป้องสิ่งแวดล้อม และศิลปะ เขาไปเยี่ยมเยือนตะวันออกกลางถึงสองครั้งด้วยกันเพื่อช่วยสร้างความสำนึกในบรรดาพลทหาร และความใจบุญสุนทานของเขาซึ่งใครๆก็รู้ทั่วกันคือความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างเขากับการกุศล Comic Relief
เกรก คินเนียร์ (Greg Kinnear) (แร็ทเชท) ผู้ได้รับชื่อเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ที่เมื่อไม่นานมานี้แสดงแสดงคู่กับแม็ท เดมอน (Matt Damon) ในภาพยนตร์แนวตลกของฟ็อกซ์เรื่อง Stuck on You
ก่อนหน้านั้นเขาแสดงภาพยนตร์สร้างชื่อ Auto Focus และ We Were Soldiers ซึ่งเขียนและกำกับโดย เรนเดล วอลเลซ ร่วมกับเมล กิ๊บสัน (Mel Gibson)
เรื่อง We Were Soldiers เป็นภาพยนตร์ที่เน้นเกี่ยวกับศึกแห่งลาดัง (battle of La Drang) ซึ่งมีการต่อสู้กันนานนับเดือนตอนสงครามเวียตนามเขาแสดงคู่กับนอร์มา จิววิสสัน (Norma Jewison) ในภาพยนตร์ของ HBO เรื่อง Dinner with Friends ร่วมกับนักแสดงท่านอื่นๆเช่น โทนี่ คอลเล็ท (Toni Collette) เดนนิส เควต (Dennis Quaid) และ แอนดี้ แม็คโดเวล (Andie MacDowell) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากละครที่ได้รับรางวัล Pulitzer-Prize โดยโดนัล มาร์กูลี่ส์ (Donald Margulies) ภาพยนตร์เรื่องนี้ติดตามความสัมพันธ์ที่หวานอมขมกลืนคู่สามีภรรยาสองคู่และชีวิตหลังจากการแยกทางกัน
(ยังมีต่อ)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ