กรุงเทพฯ--18 พ.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ของโปรแกรมการออกตั๋วแลกเงินอายุไม่เกิน 270 วัน ซึ่งสามารถออกหมุนเวียนใหม่ได้ มูลค่าไม่เกินหนึ่งหมื่นสองพันล้านบาทของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ESSO) ที่ระดับ 'F1(tha)'
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
การสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากบริษัทแม่: อันดับเครดิตสะท้อนถึงการสนับสนุนทางการเงินที่มีอย่างต่อเนื่องจากบริษัทเอ็กซอนโมบิลคอร์ปอเรชั่น (ExxonMobil) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ฟิทช์มองว่าการเพิ่มขึ้นของเงินกู้ยืมระหว่างกันเป็นการสนับสนุนจากบริษัทแม่เพื่อให้บริษัทฯ มีสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอ และมีภาระหนี้สินกับบุคคลภายนอกที่ลดลง ในช่วงที่อัตราส่วนหนี้สินของ ESSO อยู่ในระดับสูง และกำไรจากการดำเนินงานที่อ่อนแอในปี 2557 อัตราส่วนเงินกู้ยืมระหว่างกันต่อเงินกู้ยืมทั้งหมดของบริษัทฯ ยังคงสูงอยู่ที่ระดับ 60%-65% แม้ว่าหนี้สินทั้งหมดและเงินกู้ยืมระหว่างกันของบริษัทฯ จะลดลงในช่วงหกเดือนแรกของปี 2559 จากปี 2558
อัตราส่วนทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น: อัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการพิจารณาอันดับเครดิตของ ESSO แข็งแกร่งขึ้นมากตั้งแต่ในช่วงปี 2558 ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของหนี้สิน และความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบที่ต่ำช่วยทำให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันเพิ่มขึ้น ต้นทุนในด้านเชื้อเพลิงลดต่ำลง และความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนลดลง ฟิทช์คาดว่าหนี้สินของ ESSO จะค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่องในปี 2560-2561 เนื่องจากฟิทช์คาดว่า ESSO ไม่น่าจะมีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ โดยฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO-adjusted net leverage) ของ ESSO น่าจะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 5 เท่า (อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 3.5 เท่าในช่วงหกเดือนแรกของปี 2559) แม้ว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ มีแนวโน้มที่จะลดลง และราคาน้ำมันจะค่อยๆปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2560 เป็นต้นไป
ไม่มีแผนการลงทุนใหม่ที่มีขนาดใหญ่: ESSO ไม่มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในช่วงสองถึงสามปีข้างหน้า บริษัทฯ จะมุ่งเน้นการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และการเลือกใช้น้ำมันดิบชนิดใหม่ๆมากขึ้น เพื่อควบคุมต้นทุนในการผลิตและเพิ่มอัตราส่วนกำไร รวมถึงการขยายและการทำให้เครือข่ายสถานีบริการมีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยโครงการเหล่านี้เป็นโครงการขนาดเล็กซึ่งใช้เงินลงทุนไม่มากนัก ซึ่งหลังจากที่โครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันศรีราชาเสร็จสิ้นในปี 2554 ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของบริษัทฯ ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาทถึง 1,200 ล้านบาทต่อปี
โรงกลั่นที่มีสายการผลิตที่เชื่อมโยงกับการผลิตพาราไซลีน: อันดับเครดิตของ ESSO สะท้อนถึงโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทฯ ที่มีความซับซ้อนและมีความสามารถในการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่สูง รวมถึงความได้เปรียบในการจัดหาน้ำมันดิบและวัตถุดิบในต้นทุนที่ต่ำโดยผ่านเครือข่ายของบริษัทแม่ ตลอดจนการดำเนินธุรกิจภายใต้เครื่องหมายการค้า "เอสโซ่" (Esso) ที่มีชื่อเสียงอันยาวนานในประเทศไทย อันดับเครดิตยังได้พิจารณาถึงการที่โรงกลั่นของบริษัทฯ มีการประสานเชื่อมโยงกันกับการผลิตพาราไซลีนซึ่งเป็นการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทำให้สายการผลิตมีการใช้ประโยชน์สูงสุด ถึงแม้ว่ากำลังการผลิตของพาราไซลีนในภูมิภาคจะอยู่ในระดับเกินความต้องการและส่งผลให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบอยู่ในระดับต่ำก็ตาม นอกจากนี้ ESSO ยังมีความแข็งแกร่งในธุรกิจการค้าปลีกน้ำมันสำเร็จรูป โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับสามในประเทศไทยในปี 2558
ความผันผวนตามวัฏจักรของธุรกิจ: สถานะเครดิตของ ESSO ยังพิจารณารวมถึงความเสี่ยงจากความผันผวนที่สูงของราคาน้ำมันดิบ รายได้ค่าการกลั่น ตลอดจนส่วนต่างระหว่างราคาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมากต่อรายได้ ความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน และการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทฯ นอกจากนี้ ESSO ยังมีความเสี่ยงจากการที่บริษัทฯ มีโรงกลั่นน้ำมันเพียงแห่งเดียว (Single-Site) อีกด้วย
สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ:
- ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา 42 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2559, 45 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2560, 55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2561 และ 65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2562 เป็นต้นไป โดยมีการปรับด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ ESSO;
- ค่าการกลั่นอยู่ในระดับสูงในปี 2559 และลดลงในปี 2560;
- ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบพาราไซลีนค่อยๆฟื้นตัวในปี 2559-2560;
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนประมาณปีละ 1.0-1.2 พันล้านบาทในปี 2559-2560 และลดลงเหลือปีละประมาณ 700 ล้านบาทในปี 2561-2563
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
- ความความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงกับกลุ่มบริษัท ExxonMobil ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจัยลบ:
- สัดส่วนการถือหุ้นและการสนับสนุนที่น้อยลงจากกลุ่มบริษัท ExxonMobil
- การลดลงของการเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากธนาคารและตลาดตราสารหนี้ซึ่งอาจมีผลต่อสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทฯ
- อัตราส่วนหนี้สิน โดยคำนวณจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO-adjusted net leverage) อยู่ในระดับที่สูงกว่า 6.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง (ณ สิ้นปี 2558 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิดังกล่าวอยู่ที่ 6.1 เท่า)