TNR เคาะราคา IPO หุ้นละ 16 บาท พร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อ 21-23 พ.ย.นี้ ชูจุดแข็งผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในไทยและรายใหญ่ของโลก พร้อมแบรนด์สินค้า Onetouch ที่แข็งแกร่งรองรับการขยายตลาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 18, 2016 16:53 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 พ.ย.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ หรือ TNR เคาะราคา IPO หุ้นละ 16 บาท เตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อ 21-23 พ.ย.นี้ และคาดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันที่ 29 พ.ย.นี้ พร้อมแต่งตั้ง บมจ.หลักทรัพย์ กสิกรไทย เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบล.ทรีนีตี้ จำกัด เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่าย ด้านผู้บริหารชูจุดแข็งธุรกิจ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของไทยและรายใหญ่ของโลก ด้วยกำลังการผลิตติดตั้ง 1,959 ล้านชิ้นต่อปี พร้อมวางเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในไทยและขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศใหม่ ๆ ทั่วโลก เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2559 บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ 'TNR' ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO และแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่าย นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ สำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book Building) ของนักลงทุนสถาบัน เมื่อวันที่ 17-18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พบว่ามีนักลงทุนสถาบันแสดงความสนใจซื้อที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 16 บาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจและศักยภาพการเติบโตของ TNR จึงได้กำหนดราคาขาย IPO ที่หุ้นละ 16 บาท โดยจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อวันที่ 21-23 พฤศจิกายนนี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ ทั้งนี้ บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 75 ล้านหุ้น ประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดย บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำนวน 37.50 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ อีกจำนวน 37.50 ล้านหุ้น รวมคิดเป็นร้อยละ 25 ของหุ้นสามัญจดทะเบียนของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ โดยก่อนเสนอขายหุ้น IPO บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ซึ่งเป็นทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้วทั้งสิ้น 262.50 ล้านบาท สำหรับ บมจ.บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ เป็นผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยมีธุรกิจแบ่งออกเป็น 1. ธุรกิจผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นภายใต้เครื่องหมายการค้า 'Onetouch' ซึ่งทำตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ 2. ธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น ให้แก่บริษัทเอกชนและองค์กรเอกชน (NGOs) ทั้งในไทยและต่างประเทศมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงได้รับจ้างผลิตถุงยางอนามัยให้กับ United Medical Devices ภายใต้เครื่องหมายการค้า PLAYBOY ทั่วโลกและเป็นผู้จัดจำหน่ายเพียงผู้เดียวในประเทศไทย และ 3. ธุรกิจงานประมูล โดยได้เข้าร่วมประมูลงานผลิตถุงยางอนามัยกับองค์กรภาครัฐและองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำไปแจกจ่ายตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งออเดอร์ในส่วนนี้จะเข้ามาเติมเต็มการใช้กำลังการผลิตและทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าต่อหน่วยลดลง ด้านนายอมร ดารารัตนโรจน์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ หรือ TNR กล่าวว่า บริษัทฯ มีศักยภาพและความพร้อมด้านการผลิตถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติ ด้วยกำลังการผลิตติดตั้ง 1,959 ล้านชิ้นต่อปี จากโรงงาน 2 แห่ง ได้แก่ โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง มีกำลังการผลิตติดตั้ง 426 ล้านชิ้น และโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง จังหวัดชลบุรี มีกำลังการผลิตติดตั้ง 1,533 ล้านชิ้นต่อปี จึงถือเป็นผู้ผลิตถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ ที่มีกำลังการผลิตติดตั้งมากที่สุดของไทยและเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก โดยบริษัทฯ มีจุดแข็งด้านเครื่องหมายการค้าที่แข็งแกร่งและแบรนด์ Onetouch ที่มียอดขายเติบโตต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ก็เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยที่หลากหลาย มีการพัฒนาเครื่องจักรในการผลิตเอง รวมถึงได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานในประเทศและองค์กรสากล อาทิ ISO 9001, Canadian Medical Devices Regulations (CMDCAS) ประธานกรรมการบริหาร TNR กล่าวว่า ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2556-2558 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้า 1,053.2 1,182.4 และ 1,302.2 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 96.5 108.6 และ 234.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นตามลำดับ ขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้จากการขายสินค้า 934.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.5 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 158.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.2 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดถุงยางอนามัย ภายใต้แบรนด์ Onetouch ในประเทศไทยเป็น 35% ของตลาดรวมภายในปี 2563 จากเดิมที่มีส่วนแบ่งตลาด 20.6% ของมูลค่าตลาดรวมถุงยางอนามัยในช่วง เดือนกันยายน 2557 ถึงเดือนสิงหาคม 2558 โดยเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาได้เปิดตัวถุงยางอนามัยวันทัช ซีโร่ ซีโร่ ทรี (Onetouch 003) ซึ่งเป็นถุงยางอนามัยผิวเรียบ แบบบาง 0.03-0.038 มิลลิเมตร ที่มีความบางที่สุดเท่าที่บริษัทฯ เคยผลิต เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักอายุ 18-45 ปี ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไปและชื่นชอบถุงยางอนามัยที่บางพิเศษในราคาที่คุ้มค่า พร้อมกันนี้ จะเร่งขยายตลาดสู่ประเทศใหม่ ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะทวีปเอเชียและแอฟริกา ที่มีความต้องการใช้สินค้าและโอกาสขยายตลาดได้อีกมาก ด้วยการแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายสินค้าในประเทศต่าง ๆ ที่มีศักยภาพและมีเครือข่ายร้านค้าเป็นจำนวนมากเพื่อกระจายสินค้าได้อย่างครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยตั้งเป้าเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นภายใต้แบรนด์ Onetouch ในประเทศไทยและกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์และเวียดนาม รวมถึงเป็นผู้นำธุรกิจรับจ้างผลิตถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นระดับโลก "เราเป็นผู้ผลิตถุงยางอนามัยและผลิตภัณฑ์ประเภทเจลหล่อลื่น เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีประสบการณ์มายาวนาน โดยต้องการขยายตลาดถุงยางอนามัยภายใต้แบรนด์ Onetouch ไปยังประเทศใหม่ ๆ ในทวีปต่าง ๆ และขยายฐานลูกค้าในการรับจ้างผลิตถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นเพิ่มเติม" นายอมร กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ