กรุงเทพฯ--25 พ.ย.--มาสเตอร์คูล
"มาสเตอร์คูล" เผยผลประกอบการในไตรมาสที่3 /2559 โดยบริษัทมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 10% ผลจากการบริหารอัตราแลกเปลี่ยน-ลดค่าใช้จ่ายในองค์กร พร้อมวางแผนจับมือคู่ค้า สต็อกสินค้ารับฤดูขายปีหน้า
นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL ผู้ผลิตและจำหน่ายพร้อมให้เช่า พัดลมไอน้ำ-ไอเย็นภายใต้แบรนด์ "มาสเตอร์คูล" เปิดเผย ว่า บริษัทได้มีการพบปะนักลงทุนในงาน Opportunity Day เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับผลประกอบการในไตรมาสที่3 /2559 โดยบริษัทมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นรายได้รวม 104.82 ล้านบาท มีผลกำไรขาดทุนสุทธิ 4.17 ล้านบาท ขาดทุนลดลงจากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากที่บริษัทสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์กร รวมถึงการรับมือความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างมีประสิทธิภาพ
"ในช่วงไตรมาส3 ถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่น ไม่ใช่ฤดูกาลขายของบริษัท ทำให้ยอดขายลดลง ถือเป็นภาวะปกติของทิศทางการขายของสินค้า ประกอบกับในปีนี้ภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างชะลอตัว จากที่ได้รับข้อมูลของคู่ค้าพันธมิตรที่มีการให้ข้อมูลสถานการณ์ของการทำตลาดกลุ่มสินค้าเครื่องทำความเย็นพบว่าในภาพรวมยอดขายลดลงทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น รีเทล โมเดิร์นเทรด และช่องทางออนไลน์"นายนพชัย กล่าว
สำหรับผลประกอบการในช่วง 9เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราการเติบโต 57.59% คิดเป็นรายได้ 771.45 ล้านบาท คิดเป็นผลกำไร 97.79 ล้านบาท เติบโต 878.88% ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารสภาพคล่อง และความสามารถในการทำกำไรจากยอดขายสินค้าในช่วงฤดูกาลขายตั้งแต่ช่วงเดือน ก.พ.-ก.ค. คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 70% ของยอดขายทั้งปี
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในปี2560 บริษัทจะมุ่งบริหารช่องทางการขายให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อลดปัญหาสินค้าขาดตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มรีเทล ไม่ว่าจะเป็น แม็คโคร โฮมโปร เมกาโฮม ไทยวัสดุ บุญถาวร เทสโกโลตัส ที่ปัจจุบันมีประมาณ 200 แห่ง โดยจะเพิ่มขึ้นเป็น 400 แห่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรจา เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าตลาดระดับล่างมากขึ้น จากเดิมที่กลุ่มลูกค้าหลักจะอยู่ในกลุ่มบีบวกขึ้นไป รวมถึงมีการหารือกับคู่ค้า ดีลเลอร์ ทั้งในและต่างประเทศ ในการวางแผนสต๊อกสินค้าให้เพียงพอกับช่วงฤดูกาลขายในปีหน้า
อย่างไรก็ดี สำหรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีหน้ายังคงมีการเปิดตัวเพื่อทำตลาดอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งจะยังคงเป็นสินค้าในกลุ่มนวัตกรรมพัดลมไอเย็นที่ได้มีการวิจัยและพัฒนาร่วมกับองค์กรภาครัฐ ขณะที่พัดลมไอน้ำยังคงมีการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่กลุ่มอีเว้นท์ และธุรกิจเอาท์ดอร์ รวมถึงกลุ่มธุรกิจด้านดูแลสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน โดยคาดว่ายอดขายทั้งปีของปี2560 จะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 40% ขณะที่ในปี2559 คาดการณ์รายได้จะอยู่ที่ประมาณ 800-900 ล้านบาท